Default fallback image

ความดันลูกตาสูง ภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ เสี่ยงต้อหินและตาบอดไม่รู้ตัว

ความดันลูกตาสูงเป็นหนึ่งปัญหาสุขภาพที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย ภาวะนี้สามารถกระทบต่อการมองเห็น และอาจรุนแรงถึงขั้นตาบอดได้ อีกทั้งช่วงแรกมักไม่แสดงอาการ กว่าจะรู้ตัวอาจรับมือได้ไม่ทัน

บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับภาวะความดันลูกตาสูงให้มากขึ้น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ใครบ้างเสี่ยงต่อภาวะนี้ เป็นแล้วมีโอกาสหายไหม วิธีรักษาเป็นอย่างไร

ความดันลูกตาสูง คืออะไร?

ความดันลูกตา หรือความดันตา (Intraocular pressure) คือ แรงดันของของเหลวที่อยู่ภายในลูกตา เรียกว่า น้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (Aqueous humor) ซึ่งมีหน้าที่นำสารอาหารและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงส่วนประกอบของดวงตา เพื่อการมองเห็นที่เป็นปกติ 

ปกติแล้ว ร่างกายจะสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาขึ้นแล้วระบายออกในปริมาณที่สมดุลกันตลอดเวลา  หากระบบการระบายน้ำเลี้ยงลูกตาไม่สมดุลกันจะทำให้แรงดันลูกตาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนอาจนำไปสู่การเกิดต้อหินได้ในท้ายที่สุด 

โดยทั่วไป ค่าความดันตาปกติจะอยู่ระหว่าง 5–21 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) และค่าความดันตาโดยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 13.3 มิลลิเมตรปรอท หากความดันตาสูงกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป จะถือว่าเป็นภาวะความดันตาสูง (Ocular hypertension)

ความดันลูกตาสูง อันตรายไหม?

เมื่อความดันในลูกตาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แรงดันนั้นจะไปกดทับขั้วประสาทตาที่บอบบาง ทำให้เซลล์ประสาทตาค่อย ๆ ตายลง ส่งผลให้ลานสายตาหรือขอบเขตการมองเห็นแคบลง จนกระทั่งสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดในที่สุด

ภาวะความดันลูกตาสูงเพียงอย่างเดียวยังไม่ถือว่าเป็นโรค แต่เป็น “ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุด” ในการเกิดโรคต้อหิน (Glaucoma) ซึ่งเป็นภาวะที่ขั้วประสาทตาถูกทำลายอย่างช้า ๆ จนนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้อหินบางส่วนอาจมีความดันตาปกติได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับขั้วประสาทตานั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ การรักษาทำได้เพียงชะลอหรือหยุดการถูกทำลายเพิ่มเติมเท่านั้น

ความดันลูกตาสูง เกิดได้อย่างไร?

ความดันลูกตาสูงมีสาเหตุคล้ายคลึงกับโรคต้อหิน ปัจจัยหลัก ๆ มีดังนี้

  • น้ำในดวงตามากเกินไป ทำให้ระบายออกไม่ทันจนเกิดการสะสมจนความดันลูกตาสูงขึ้น
  • ระบบการระบายน้ำในตาผิดปกติ เช่น มีมุมตาแคบ มีสิ่งอุดตันในช่องทางระบายน้ำ หรือเกิดการอักเสบ ทำให้น้ำในดวงตาระบายออกไม่ได้ หรือระบายได้ไม่ดี จนความดันลูกตาสูงขึ้น
  • ดวงตาได้รับบาดเจ็บ เช่น ถูกกระแทกอย่างรุนแรง ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดตา หรือการติดเชื้อภายในดวงตา ทำให้กระทบต่อระบบการผลิต หรือการระบายน้ำเลี้ยงลูกตา เมื่อน้ำในตาสะสมมากขึ้นก็จะทำให้ความดันลูกตาสูงได้
  • ภาวะหรือโรคทางดวงตา เช่น ม่านตาอักเสบ ต้อกระจก เบาหวานขึ้นตา อาจส่งผลให้ความดันลูกตาสูงขึ้นได้
  • ยาบางชนิด อย่างยาสเตียรอยด์ สามารถส่งผลต่อความดันลูกตาได้

ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่มีส่วนทำให้ความดันลูกตาสูงได้ด้วย เช่น อายุ เชื้อชาติ และประวัติครอบครัว 

รู้ได้อย่างไรว่าความดันลูกตาสูง?

ภาวะความดันลูกตาสูงมักถูกเรียกว่าเป็น ‘ภัยเงียบ’ เพราะในระยะแรกจะไม่มีอาการเตือนใด ๆ เลย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว จนกระทั่งอาการลุกลามมากขึ้น กระทบต่อการมองเห็น เช่น ปวดตา ตาแดง และมองเห็นภาพมัว 

ดังนั้น วิธีที่จะทราบได้แน่ชัดว่ามีความดันลูกตาสูงหรือไม่ คือ การเข้ารับการตรวจสุขภาพตาโดยจักษุแพทย์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงต่อไปนี้

  • สายตาสั้นหรือสายตายาวมาก
  • อายุ 40 ปีขึ้นไป
  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน หรือความดันในตาสูง 
  • เคยได้รับการบาดเจ็บหรือผ่าตัดบริเวณดวงตา
  • มีประวัติใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
  • ป่วยด้วยโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง
  • มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตาหรือโรคตา เช่น กลุ่มอาการ Pseudoexfoliation (PXF) หรือกลุ่มอาการกระจายเม็ดสี (Pigment dispersion syndrome) 

ในการตรวจวินิจฉัย จักษุแพทย์จะวัดความดันภายในลูกตา และตรวจโครงสร้างอื่น ๆ ภายในดวงตา เช่น มุมตา ขั้วประสาทตา ความหนาของเลนส์ตา และลานสายตา 

ความดันลูกตาสูง รักษาได้ไหม?

ความเสียหายจากความดันลูกตาสูงไม่สามารถรักษาให้หายได้ เป้าหมายหลักของการรักษา คือ การควบคุมความดันลูกตาให้อยู่ในระดับปลอดภัย เพื่อป้องกันไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายมากกว่าเดิม

จักษุแพทย์อาจใช้วิธีรักษาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและดุลยพินิจของจักษุแพทย์ เช่น

  • การใช้ยา (Medications) ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบยาหยอดตา ซึ่งออกฤทธิ์โดยการลดการสร้างน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา หรือช่วยให้การระบายน้ำออกจากตาดีขึ้น
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser therapy) โดยยิงเลเซอร์ไปที่เนื้อเยื่อส่วนที่ระบายน้ำในลูกตา เพื่อเปิดทางระบายให้กว้างขึ้น ทำให้ความดันตาลดลง
  • การผ่าตัด (Surgery) จะใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล โดยจะผ่าตัดสร้างทางระบายน้ำหล่อเลี้ยงลูกตาขึ้นมาใหม่

ความดันลูกตาสูงไม่มีสัญญาณเตือน การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง จะช่วยให้จักษุแพทย์วินิจฉัยความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา และดูแลได้ตั้งแต่ระยะแรกก่อนสูญเสียการมองเห็น 

การมองเห็นที่เสียไปแล้ว เรียกคืนกลับมาไม่ได้ ใส่ใจสุขภาพตาก่อนสาย HDmall.co.th มัดรวม แพ็กเกจตรวจสุขภาพตา คัดกรองต้อหิน ภายใต้การดูแลของจักษุแพทย์ ในราคาสบายกระเป๋า 

Scroll to Top