เมื่อการทำงานของหัวใจมีความผิดปกติ หรือที่เรียกว่า “ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure)” แล้ว การใช้ยารักษา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตยังไม่เห็นผลเท่าที่ควร แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดหัวใจเพื่อควบคุมอาการ หรือลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจวาย (Congestive heart failure) ในอนาคต การผ่าตัดหัวใจสามารถเป็นได้ทั้งการผ่าตัดที่วางแผนไว้ล่วงหน้า หรือเป็นการรักษาในกรณีฉุกเฉินก็ได้
สารบัญ
ข้อดีของการผ่าตัดหัวใจ
การผ่าตัดหัวใจเป็นวิธีรักษาขั้นต่อไปหลังจากที่การใช้ยา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไม่ได้ผลแล้ว
การผ่าตัดมีข้อดี คือ สามารถแก้ไข ซ่อมแซมหัวใจส่วนที่เสียหาย หรือมีปัญหา ช่วยยืดอายุขัยของผู้ป่วยด้วยการทำให้เลือดที่ไหลไปเลี้ยงหัวใจเป็นไปอย่างสะดวกขึ้น รวมถึงเพื่อควบคุมการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้
นอกจากการผ่าตัดในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว หากคุณต้องเข้ารับการผ่าตัดหัวใจในอนาคตอันใกล้ ก็ควรเตรียมความพร้อมรับการผ่าตัดด้วยการปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจถึงหลักการและความเสี่ยงต่างๆ ของกระบวนการผ่าตัดก่อน
การผ่าตัดหัวใจใช้ระยะเวลานานเท่าไร?
ระยะเวลาการผ่าตัดหัวใจจะขึ้นอยู่กับประเภทการผ่าตัด โรคประจำตัว หรืออาการของผู้ป่วยในขณะนั้น อาจใช้เวลาตั้งแต่2-4ชั่วโมงในการผ่าตัดขนาดเล็ก หรืออาจมากถึง 8 ชั่วโมงขึ้นไป ในการผ่าตัดขนาดใหญ่
ทั้งนี้สามารถสอบถามการประเมินระยะเวลาการผ่าตัดได้จากแพทย์เจ้าของไข้ได้ในแต่ละราย
ความเสี่ยงในการผ่าตัดหัวใจ
การผ่าตัดหัวใจอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้
- เจ็บหน้าอกและมีไข้
- การหายใจลำบาก
- การสูญเสียเลือดบริเวณแผลผ่าตัด หรือในบริเวณของหัวใจซึ่งมีการผ่าตัด
- ติดเชื้อแผลที่หน้าอก (พบมากในผู้ป่วยที่มีโรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน)
- หัวใจวาย หรือหัวใจเต้นผิดปกติ
- ปอดอักเสบ หรือติดเชื้อ
- ปอด หรือไตล้มเหลว
- อัมพาต (Stroke)
- ความเสื่อมของกระบวนการการรับรู้ (Cognitive Impairment)
- การเกิดลิ่มเลือดบริเวณภายในและรอบๆ หัวใจ หรืออาจเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือด
- ความเสี่ยงต่างๆ ที่มากับเครื่องปอดและหัวใจเทียม
การพักฟื้นหลังการผ่าตัดหัวใจ
หลังเข้ารับการผ่าตัดหัวใจ ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดในห้องอภิบาลผู้ป่วยหนัก หรือที่เรียกว่า “ห้องไอซียู (Intensive Care Unit: ICU)” หรือ “ห้องซีซียู (Cardiac Care Unit: CCU)”
แพทย์จะติดตั้งท่อระบายจำนวน 1-3 อัน ในทรวงอก เพื่อระบายเลือดและน้ำที่ตกค้างออกจากพื้นที่รอบหัวใจและปอด หลังจากนั้นจะให้ยาที่เป็นสารน้ำผ่านทางหลอดเลือดดำ
นอกจากนี้ผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะ (Urine Catheter) เพื่อให้สามารถระบายปัสสาวะออกได้ โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน ก่อนจะย้ายผู้ป่วยไปพักฟื้นที่ห้องธรรมดา ระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ขึ้นไป
วิธีการผ่าตัดหัวใจในแบบต่างๆ
1. การผ่าตัดเปิดหัวใจ
เป็นการผ่าตัดที่แพทย์ต้องทำการเปิดช่องอกเพื่อดำเนินหัตถการกับหัวใจ คำว่า “เปิด” ในที่นี้หมายถึง หน้าอกของผู้ป่วย ไม่ได้หมายถึง ผ่าเปิดหัวใจ โดยการเปิดกล้ามเนื้อหัวใจนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัดเอง
การเปิดช่องอกนี้ยังหมายถึง การเปิดกระดูกสันอกและการซ่อมแซมกระดูกสันอกอีกด้วย
2. การผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและการดามลวด
การผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจและการดามลวดจะใช้เพื่อขยายหลอดเลือดรอบหัวใจที่เกิดการตีบตันขึ้น การรักษานี้มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นหลัก
ระหว่างหัตถการหลอดเลือดแดงที่ตีบจะถูกขยายออกด้วยบอลลูนและใช้ลวดเหล็กดามหลอดเลือดให้คงสภาพอยู่เช่นนั้น ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนผ่านหลอดเลือดที่ตีบได้อย่างสะดวกขึ้น
การผ่าตัดประเภทนี้ยังสามารถเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า “การผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านสายสวน (Percutaneous Coronary Intervention: PCI)”
3. การผ่าตัดบายพาสหัวใจ
การผ่าตัดบายพาสหัวใจ หรืออีกชื่อคือ “การผ่าตัดสร้างทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Grafting: CABG)” เป็นหัตถการเพื่อแก้ไขหลอดเลือดแดงรอบหัวใจที่เกิดการตีบจนทำให้การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงหัวใจเป็นไปได้ยากขึ้น
การผ่าตัด CABG เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกและโรคหลอดเลือดหัวใจ
สำหรับหลอดเลือดที่ใช้ทำทางเบี่ยงจะนำมาจากส่วนอื่นของร่างกาย โดยแพทย์จะนำหลอดเลือดทดแทนมาแต่งหลอดเลือดที่เกิดการตีบตัน เพื่อสร้างทางเบี่ยงตำแหน่งที่ตีบตันไป ทำให้เลือดกลับมาไหลเวียนได้อย่างปกติ
4. การผ่าตัดใส่บอลลูนที่ลิ้นหัวใจ
บางกรณีสามารถแก้ไขภาวะลิ้นหัวใจตีบได้ด้วยการผ่าตัดใส่บอลลูนที่ลิ้นหัวใจ ส่วนมากมักใช้สำหรับรักษาภาวะลิ้นหัวใจตีบ โดยแพทย์จะใช้ท่อ (สายสวน) พลาสติกขนาดเล็กสอดเข้าเส้นเลือดแดงหลัก ซึ่งมักจะสอดผ่านขาหนีบของผู้ป่วยเพื่อขึ้นไปยังหัวใจ
สายสวนนี้จะทำให้บอลลูนที่พองตัวออก ไหลเข้าไปในตำแหน่งลิ้นที่เสียหายเพื่อยืดขยายลิ้นหัวใจ หลังจากนั้นบอลลูนจะหดตัวลง แล้วแพทย์ก็จะดึงทั้งบอลลูนและสายสวนออกจากร่างกาย
5. การซ่อมแซมลิ้นหัวใจ
แพทย์จะพยายามซ่อมแซมลิ้นหัวใจที่เสียหายหากเป็นไปได้ เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ไม่ซับซ้อนเท่ากับการเปลี่ยนลิ้นหัวใจทั้งชิ้น การผ่าตัดซ่อมลิ้นหัวใจนี้มักดำเนินการเพื่อรักษาภาวะเลือดไหลกลับจากลิ้นไมตรัล
6. การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
หากลิ้นหัวใจเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซมได้ หรือผู้ป่วยมีสภาพร่างกายไม่เหมาะกับการผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจ แพทย์จะผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่แทน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับยาสลบ หรือยาชาเฉพาะที่เพื่อเข้ารับการผ่าตัด
7. การปลูกฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจชนิดฝัง
การปลูกฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจชนิดฝัง (Implantble Cardioverter Defibrillator: ICD) เข้าที่ร่างกาย มีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจจับภาวะหัวใจห้องล่างเต้นผิดปกติชนิดรุนแรงให้กับผู้ป่วย
เมื่อตรวจพบแล้วเครื่องจะทําการรักษาโดยการกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าจากภายใน (internal defibrillation) หรือทําการกระตุ้นหัวใจด้วยอัตราความเร็วที่มากพอที่อาจจะหยุดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะดังกล่าวลงได้ (antitachycardia pacing)
8. การใส่อุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าหัวใจถาวรและอัตโนมัติ
ผู้ที่เคยประสบกับภาวะหัวใจล้มเหลวมาแล้วจะต้องใช้อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า “เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าถาวร หรืออัตโนมัติ” ที่ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวประสานกัน เช่นเดียวกับการรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
อุปกรณ์นี้สามารถกระตุ้นให้ห้องต่างๆ ของหัวใจเกิดการบีบรัดและผ่อนตัวประสานกันเป็นปกติได้ ผลที่ได้คือ การสูบฉีดเลือดที่ดียิ่งขึ้น
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าถาวร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
- CRT-P (Cardiac Resynchronisation Therapy Pacemaker)
- CRT-D (Cardiac Resynchronisation Therapy Defibrillator device)
9. เครื่องพยุงหัวใจ
เครื่องพยุงหัวใจ (Left Ventricular Assist Device: VAD หรือ LVAD) เป็นเครื่องที่ช่วยรองรับการไหลเวียนของเลือด โดยทำหน้าที่รับเลือดจากเวนทริเคิลซ้าย (Left ventricle) หรือห้องล่างสุดของหัวใจ และฉีดเลือดที่รับมาเข้าไปยังเอออร์ตาไปเลี้ยงร่างกาย
ในตอนแรกอุปกรณ์นี้ออกแบบมาให้ช่วยรองรับการทำงานของหัวใจสำหรับผู้ที่กำลังรอการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ แต่ปัจจุบันได้ใช้อุปกรณ์นี้ช่วยเหลือบำบัดระยะยาวแก่ผู้ที่ไม่เหมาะสมกับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ และผู้ที่เป็นโรคหัวใจล้มเหลวระยะสุดท้ายแล้ว
10. การปลูกถ่ายหัวใจ
การปลูกถ่ายหัวใจ หรือการเปลี่ยนหัวใจ เป็นหัตถการที่มีขึ้นเพื่อเปลี่ยนหัวใจที่เสียหายจนไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ ซึ่งการปลูกถ่ายหัวใจเป็นการรักษาที่มักแก้ไขภาวะปัญหาต่างๆ ได้ แม้ว่าผู้ป่วยจะผ่านการใช้ยา หรือการผ่าตัดที่ไม่ประสบผลสำเร็จใดๆ มาก่อน
แต่ไม่ใช่ว่า การปลูกถ่ายหัวใจจะเหมาะสมกับทุกๆ คน เนื่องจากแพทย์จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องประเมินความเสี่ยงทั้งก่อน-หลังการผ่าตัด ระยะพักฟื้น ประวัติสุขภาพของผู้ป่วย รวมถึงเพศและอายุ ก่อนตัดสินใจให้ผู้ป่วยเข้ารับการปลูกถ่ายหัวใจอีกด้วย
หากคุณกำลังสับสนและกังวลที่จะตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ควรศึกษาเรื่องกระบวนการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และการดูแลติดตามผลให้ดีเสียก่อน โดยสามารถปรึกษาแพทย์ประจำตัวที่ดูแลนั่นเอง
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. จุติพร จตุรเชิดชัยสกุล