ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ ผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อรักษาโรคหัวใจจึงทำให้อาจเกิดผลข้างเคียง จากการใช้ยา หรือขาดความร่วมมือในการใช้ยาจากผู้ป่วยได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ยารักษาโรคหัวใจทุกตัวล้วนมีประโยชน์ และผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายแล้วตามวิจารณญาณของแพทย์ผู้รักษา
สารบัญ
ภาวะที่สามารถใช้ยารักษาโรคหัวใจได้
- ภาวะเจ็บแน่นหน้าอก (Angina) หมายถึง อาการปวด หรือไม่สบายภายในหน้าอก หรืออาการหายใจลำบาก
- ภาวะหัวใจวาย (Heart attack) หมายถึง ภาวะที่หลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดตันขึ้น
- ภาวะความดันโลหิตสูง (High blood pressure หรือ Hypertension)
- ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) หมายถึง ภาวะที่การสูบฉีดของหัวใจไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) หมายถึง ภาวะที่หัวใจเต้นช้าเกินไป เร็วเกินไป หรือเต้นอย่างไม่สม่ำเสมอ
- โรคลิ้นหัวใจ (Heart valve disease) หมายถึง ภาวะที่ลิ้นหัวใจหนึ่งส่วน หรือมากกว่านั้นเกิดโรค หรือเกิดความเสียหายขึ้น
- ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง (High blood cholesterol level) หมายถึง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไฮเปอร์คอเลสเตอรอลเอเมีย (Hypercholesterolaemia) เป็นภาวะที่หากไม่ทำการรักษาจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจขึ้นมา
ประเภทของยารักษาโรคหัวใจ
ปัจจุบันมียารักษาโรคหัวใจมากมายหลายชนิด โดยแบ่งยาเป็นกลุ่มๆ ดังนี้
- ตัวยับยั้งแองจิโอเทนซิน-คอนเวอร์ติงเอนไซม์ (Angiotensin-converting enzyme) เช่น อีนาลาพริล (Enalapril)
- ตัวยับยั้งตัวรับแอนจีโอเทนซินทู (Angiotensin-II Antagonists) เช่น ลอซาทาร์น (Losartan)
- ยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Antiarrhythmic drugs) เช่น อมิโอดาโรน (Amiodarone)
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant drugs) เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin)
- ยาต้านเกล็ดเลือด (Antiplatelet drugs) เช่น แอสไพริน (Aspirin)
- ยายับยั้งเบต้า (Beta-blockers) เช่น โพรพาโนลอล (Propanolol) บิโสโพรลอล (Bisoprolol)
- ยากลุ่มปิดกั้นช่องแคลเซียม (Calcium Channel Blockers) เช่น แอมโลดิปีน (Amlodipine)
- ยาลดคอเลสเตอรอล (cholesterol-lowering medicines) เช่น ซิมวาสเตติน (Simvastatin)
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) เช่น ไฮโดรคลอโรไธอะไซด์ (Hydrochlorothiazide) ฟูโรซีไมด์ (Furosemide)
- ยากลุ่มไนเตรท (Nitrates) หรือยาเม็ดกลีเซอรีนไตรไนเตรท (Glyceryl Trinitrate: GTN)
ยากลุ่มเดียวกันจะให้ผลโดยรวมในทางเดียวกัน แต่อาจมีขั้นตอนการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ยาบางชนิดก็ผสมยา 2 ชนิดเข้าด้วยกันอีกด้วยจึงควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยา ไม่ควรซื้อยามารับประทานด้วยตนเองโดยเด็ดขาด
วิธีใช้ยารักษาโรคหัวใจ
วิธีใช้ยารักษาโรคหัวใจจะแบ่งตามชนิดของยา ดังนี้
- ชนิดรับประทาน (Orally) โดยมากมักจะเป็นยาเม็ด แคปซูล หรือยาน้ำที่ให้กลืน หรือละลายในน้ำก่อนดื่มเข้าไป
- ชนิดวางไว้ใต้ลิ้น (Sublingually) เป็นยาเม็ดที่ให้วางไว้ใต้ลิ้นเพื่อให้ยาค่อยๆ ละลาย หรือเป็นยาสเปรย์พ่นที่ให้ฉีดลงข้างใต้ลิ้น
- ชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดดำ (Intravenously) เป็นยาที่ฉีดเข้าเส้นเลือดดำโดยตรง หรือให้ในรูปแบบของยาที่เจือจางโดยการหยดยาเข้าเส้นเลือด
- ชนิดฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (Intramuscularly) ฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อบริเวณบั้นท้าย หรือต้นขา
- ชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Subcutaneously) ยาที่ฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง
- แผ่นแปะติดกาว (Self-Adhesive Patch) เป็นแผ่นแปะที่มีส่วนผสมของยาให้ใช้แปะลงบนผิวหนัง เพื่อให้ยาค่อยๆ ซึมเข้าร่างกายอย่างช้าๆ
ข้อควรปฏิบัติในการใช้ยารักษาโรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจจำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดจึงควรข้อปฏิบัติในการใช้ยาให้ปลอดภัย ดังนี้
- ผู้ป่วยควรใช้ยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ห้ามหยุดใช้ยากะทันหันโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน
- ปรึกษาแนวทางการใช้ยาที่หาซื้อได้ทั่วไปกับเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่า ยาเหล่านั้นจะไม่ตีกับยาที่แพทย์สั่ง (ซึ่งคุณกำลังใช้อยู่)
- ห้ามยืม หรือใช้ยาของผู้อื่น
- พึงจำไว้ว่า ยาส่วนมากมักจะมีส่วนประกอบและปริมาณยาที่ต่างกัน ผู้ป่วยแต่ละคนจึงได้รับยาไม่เหมือนกัน
- ควรแจ้งเรื่องของผลข้างเคียง หรือความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลังการใช้ยาแก่แพทย์ หรือเภสัชกรที่จัดยาให้
- หากลืมกินยาเป็นประจำ ควรปรึกษาทางแก้ไขร่วมกับแพทย์ เภสัชกร หรือพยาบาล ให้ช่วยแก้ไขปัญหา
- ยาบางตัวประกอบด้วยโซเดียม (Sodium) ที่พบได้ในเกลือ หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณเกลือมากอยู่แล้ว และเมื่อได้รับยาเพิ่ม อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease)
- ผลเกรปฟรุต (Grapefruits) หรือน้ำเกรปฟรุต อาจส่งผลต่อยาหลายชนิด เนื่องจากสารในน้ำเกรปฟรุตจะไปยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายยา ทำให้เกิดปริมาณยาเกินขนาดในร่างกาย (เนื่องจากการทำลายยาลดลง)
- ยารักษาโรคหัวใจบางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อหญิงตั้งครรภ์ หรือหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร ฉะนั้นจึงต้องแจ้งแพทย์ว่า “คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร” เพื่อให้แพทย์จ่ายยาที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
ผลข้างเคียงของยารักษาโรคหัวใจ
ผลข้างเคียงของยารักษาโรคหัวใจจะขึ้นอยู่กับประเภทของยา เช่น ยาขับปัสสาวะก็จะทำให้ปัสสาวะมาก หรือยากลุ่มปิดกั้นช่องแคลเซียม อาจทำให้มีอาการบวมตรงหลังเท้า เวลาที่ยืนนาน หรือนั่งนานๆ
หากใช้ยาไประยะเวลาหนึ่ง อาการข้างเคียงต่างๆ ก็จะหายไปเอง หรือผู้ป่วยจะทนได้เอง
แต่หากมีอาการใดที่เกิดจากการใช้ยา แล้วผู้ป่วยรู้สึกว่า “ทนไม่ได้” ให้รีบแจ้งแพทย์ โดยแพทย์อาจลดขนาด หรือเปลี่ยนชนิดยาให้ แต่ห้ามหยุดใช้ยาเองเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ภาวะของผู้ป่วยแย่ลงได้
นอกจากการใช้ยาอย่างถูกต้องแล้ว ผู้ป่วยยังต้องไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อรับการตรวจ ติดตามอาการ และอาจมีการปรับขนาดยา หรือชนิดของยาตามความเหมาะสม
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล