โรคไวรัสอีโบลา (Ebola Virus Disease: EVD) หรือโรคไข้เลือดออกอีโบลา (Ebola Haemorrhagic Fever) แม้จะพบการระบาดในแอฟริกาเป็นส่วนใหญ่ แต่โรคนี้ก็สามารถแพร่ระบาดไปยังภูมิภาคอื่นๆ ได้
ช่องทางการแพร่ระบาดอื่นๆ ที่ว่า ได้แก่ นักท่องเที่ยว ผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่แพร่ระบาด หรือสัมผัสสัตว์ที่เป็นพาหะ
โรคไวรัสอีโบล่าเคยระบาดอย่างหนักในแอฟริกาตะวันตก เช่น กินี ไลบิเรีย และเซียร์ราลีโอน ในช่วงค.ศ. 2014 ถึง 2015 และทางการได้ประกาศยุติการระบาดของโรคนี้เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016
ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รายงานว่า มีผู้ป่วยที่มีรายงานอย่างเป็นทางการประมาณ 28,000 คน โดยมีผู้เสียชีวิต 11,000 คน นับเป็นการระบาดของเชื้ออีโบลาที่ใหญ่ที่สุด
สารบัญ
โรคไวรัสอีโบลา
โรคไวรัสอีโบลามีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสอีโบล่าตระกูล Filoviridae EVD จัดอยู่ในโรคกลุ่มเดียวกับไข้เลือดออก เมื่อติดเชื้อจะมีอาการเจ็บป่วยภายใน 2-21 วัน ซึ่งเป็นระยะที่เชื้อฟักตัว และจะเริ่มมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ไวรัสอีโบลาติดต่อได้ทางไหนบ้าง
เชื้อไวรัสนี้สามารถติดต่อทางเลือด ของเหลวจากร่างกาย อวัยวะของมนุษย์ หรือสัตว์ที่ติดเชื้อ ได้แก่
- การสัมผัสร่างกายของผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการ หรือผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ ไวรัสสามารถมีชีวิตรอดภายนอกร่างกายได้นานหลายวัน
- การทำความสะอาดของเหลวจากร่างกายผู้ติดเชื้อ เช่น เลือด อุจจาระ ปัสสาวะ หรืออาเจียน
- การสัมผัสเลือด เช่น การใช้เข็มฉีดยา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้กับผู้ติดเชื้อและไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อมาก่อน
- การสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย การศึกษาได้แสดงให้เห็นว่า เชื้ออีโบลาสามารถอยู่ในน้ำเชื้อของผู้ชายได้นานหลายเดือน แม้ว่าผู้ป่วยคนนั้นจะหายจากโรคแล้วก็ตาม
- การสัมผัสสัตว์ที่มีเชื้อไวรัส เช่น กอรริลลา ลิงชิมแปนซี ค้างคาวผลไม้ ละมั่งป่า เม่น รวมทั้งการสัมผัสโดยตรงสิ่งแวดล้อมที่มีเชื้อไวรัสอีโบลา
- การหยิบจับ หรือรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่สุก
อย่างไรก็ตาม โรคไวรัสอีโบลาไม่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสร่างกายของผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการอย่างการจับมือ
อาการของโรคไวรัสอีโบลา
- ระยะแรก: มีไข้สูง ปวดศีรษะ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร
- ระยะที่สอง: ท้องเดิน ปวดท้อง อาเจียน มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ ตับและไตมีอาการผิดปกติเล็กน้อย ในระยะนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเลือดออกทั้งอวัยวะภายในและภายนอกร่างกาย หากเป็นเช่นนี้จะมีโอกาสเสียชีวิตสูง นอกจากนี้ยังอาจมีอาการตับและไตวาย อวัยวะภายในเสียหายได้
การรักษาโรคไวรัสอีโบลา
ณ ตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา หรือวัคซีนป้องกันโรคอีโบลา การรักษาจะเน้นประคองอาการและต้านเชื้อไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อน แต่ก็มีวัคซีนและยาบำบัดหลายตัวที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและทดลองอยู่
โรคไวรัสอีโบลาจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำจึงต้องมีการให้ของเหลวเข้าเส้นเลือดโดยตรง อีกทั้งต้องมีการคงระดับออกซิเจนในเลือดและระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ร่วมกับการช่วยเหลืออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายให้สามารถทำงานเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อตลอดเวลา
เชื้อไวรัสอีโบลาสามารถส่งผลเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้นหากผู้ป่วยตรวจพบโรคและรับการรักษาเร็วเท่าไรจะยิ่งมีโอกาสรอดมากขึ้นเท่านั้น
ยังมีความเสี่ยงต่อโรคไวรัสอีโบลาหรือไม่?
ยังมีรายงานพบเห็นผู้ป่วยโรคอีโบลาอยู่เล็กน้อยที่ประเทศแถบแอฟริกา อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคไวรัสอีโบลาคือ ผู้ดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ หรือผู้ที่ต้องสัมผัสกับเลือด หรือของเหลวจากผู้ติดเชื้อ เช่น บุคลากรในโรงพยาบาล ครอบครัวผู้ติดเชื้อ
ทั้งนี้บุคลากรด้านสุขภาพทุกคนต้องป้องกันการสัมผัสกับของเหลวจากร่างกายผู้ติดเชื้อ ด้วยการสวมใส่อุปกรณ์ปกปิดร่างกายอย่างมิดชิด
ควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อป่วย?
พบแพทย์ทันทีที่เริ่มเจ็บป่วยหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ เช่น มีไข้สูง เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
หรือหากเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคไวรัสอีโบลา แล้วเกิดมีการเจ็บป่วยดังกล่าวต้องจะถูกกักตัวในทันที เช่นเดียวกับผู้ที่ถูกยืนยันว่า ติดเชื้อไวรัสอีโบลาควรได้รับการรักษาแยกออกจากกลุ่มผู้ป่วยอื่น ๆ ตามสถานพยาบาล
คุณจำเป็นต้องแจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการเดินทางที่ผ่านมาเพื่อให้แพทย์ชี้ชัดถึงปัญหาได้แม่นยำขึ้น บางกรณีแพทย์อาจต้องทำการเจาะตรวจเลือด ปัสสาวะ หรืออุจจาระเพื่อหาร่องรอยการติดเชื้อต่าง ๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไวรัสอีโบลานั้นมีน้อยมากๆ แต่อาการต่าง ๆ ที่คุณประสบอยู่อาจเป็นภาวะสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ อย่างโรคมาลาเรีย หรืออหิวาตกโรคได้
ดังนั้นคุณควรต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและดำเนินการรักษาให้ถูกต้อง
การป้องกันโรคไวรัสอีโบลา
แม้ว่า การระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาในแอฟริกาจะยุติลงแล้ว แต่ประเทศที่เคยมีการระบาดก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อตัวนี้อยู่เล็กน้อย
หากคุณต้องเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง พบปะผู้ที่เดินทางมาจากแถบแอฟริกา หรือมีโอกาสสัมผัสสัตว์ที่นำเข้าจากแอฟริกา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำนี้เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสอีโบลา
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำบ่อยๆ นาน 20 วินาที เมื่อสัมผัสสิ่งของสาธารณะ ก่อนจะนำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก หากไม่มีสบู่ก็ควรเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์แทน
- ล้างและปอกเปลือกผักและผลไม้ ล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสร่างกายผู้ป่วย การสัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือของเหลวจากร่างกายผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์
- ไม่หยิบจับสัตว์ที่ตาย หรือเนื้อดิบ
- ไม่รับประทานเนื้อที่ปรุงไม่สุก
โรคไวรัสอีโบลาแม้จะเป็นโรคอันตราย ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะแต่การรู้วิธีติดต่อ หรือการแพร่กระจายของโรคก็ทำให้เราสามารถป้องกันตนเองได้
หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง
นอกจากนี้เรายังควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ และหากมีอาการเจ็บป่วยผิดปกติควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล