โรคทางตาเป็นปัญหาใหญ่ต่อการเรียนรู้และใช้ชีวิตสำหรับเด็ก ๆ พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตและใส่ใจความผิดปกติทางสายตาของลูกอยู่เสมอ บทความนี้ได้รวม 4 โรคตาที่พบบ่อยในเด็ก แต่ละโรคอันตรายไหม สังเกตอาการอย่างไร พร้อมคำแนะนำในการตรวจสุขภาพตาของเด็กมาฝาก
สารบัญ
โรคตาพบบ่อยในเด็ก มีอะไรบ้าง
เพราะเด็กบางคนอาจอธิบายความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับดวงตาไม่ได้ พ่อแม่จึงต้องหมั่นสังเกตอาการลูกรักอยู่เสมอ โดยเฉพาะ 4 โรคตาที่พบได้บ่อยในเด็ก ดังต่อไปนี้
ภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive errors)
ภาวะสายตาผิดปกติ คือ ภาวะแสงหักเหไปที่จุดอื่นแทนที่จะเป็นจอประสาทตา อาจเป็นผลจากความโค้งของกระจกตา หรือความยาวของลูกที่ผิดปกติ ทำให้เด็กมองเห็นภาพใกล้–ไกลไม่ชัดเจน หรือเห็นภาพซ้อนกัน
ภาวะนี้มักพบในเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าสายตาเปลี่ยนไวและใช้สายตามากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- สายตาสั้น (Myopia) ทำให้มองในระยะไกลไม่ชัด เนื่องจากลูกตายาวหรือกระจกตาโค้งมากเกินไป ทำให้แสงตกไปทางด้านหน้าของจอประสาทตา
- สายตายาวโดยกำเนิด (Hyperopia) ทำให้มองเห็นในระยะไกลและใกล้ไม่ชัด เนื่องจากลูกตาสั้นหรือกระจกตาโค้งน้อยเกินไป ทำให้แสงตกไปทางด้านหลังของจอประสาทตา
- สายตาเอียง (Astigmatism) ทำให้มองเห็นเป็นภาพซ้อนกัน เนื่องจากกระจกตาแต่ละแนวโค้งไม่เท่ากัน ทำให้แสงกระจัดกระจายไม่รวมเป็นจุดเดียวจอประสาทตา ซึ่งเด็ก ๆ อาจมีสายตาเอียง ร่วมกับสายตาสั้นหรือยาวก็ได้
เด็กที่มีภาวะสายตาผิดปกติมักต้องสวมแว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ เพื่อปรับการมองเห็นให้ชัดเจน บางกรณีอาจต้องรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การผ่าตัดใส่เลนส์แก้วตาเทียม การผ่าตัดปรับกระจกตาด้วยเลเซอร์ อย่างวิธี PRK หรือ LASIK
โรคตาขี้เกียจ (Amblyopia)
หากดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมองเห็นบกพร่อง จะทำให้ดวงตาข้างนั้นไม่ถูกใช้งาน และหยุดพัฒนาการมองเห็น จนกลายเป็นโรคตาขี้เกียจ (Lazy eye) นั่นเอง
โรคตาขี้เกียจพบได้ตั้งแต่เกิด จนถึงช่วงอายุ 7 ปีแรก ทำให้มองเห็นไม่ชัด ดวงตาทำงานไม่ประสานกัน มีปัญหาการอ่านหรือการโฟกัส หากไม่เข้ารับการรักษาโดยเร็ว อาจเสี่ยงตามัว มองไม่ชัดอย่างถาวร และอาจกระทบไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันได้เลย
วิธีที่ใช้ปรับการมองเห็นหรือกระตุ้นการทำงานของตาขี้เกียจมีหลายวิธี เช่น สวมแว่นสายตา ปิดตาข้างที่ปกติแล้วให้ใช้ตาข้างที่ผิดปกติ ใช้ยาหยอดตา กรณีที่ต้นเหตุมาจากโรคทางตา อย่างต้อ เลือดออกในวุ้นตา หรือหนังตาตกลงมาปิดตา อาจต้องผ่าตัดบริเวณดวงตาร่วมด้วย
ตาเหล่ ตาเข (Strabismus)
ตาเหล่หรือตาเขเป็นความผิดปกติของลูกตา กล้ามเนื้อตาที่ทำงานไม่ประสานกัน ทำให้ตาเหล่เบี่ยงเข้าด้านใน ด้านนอก ด้านบน หรือด้านล่าง ขณะมองจ้องวัตถุ ผลที่ตามมาหากละเลยการรักษา คือ โรคตาขี้เกียจ และการสูญเสียการมองเห็นถาวร
พ่อแม่อาจสังเกตอาการตาเหล่ได้ตั้งแต่ลูกอายุ 5 เดือน โดยเด็กจะมองหน้าแล้วทำตาแปลก ๆ ตาดูเข หรือบางคนอาจมีอาการตาเหล่อย่างฉับพลันในช่วงอายุประมาณ 2 ปี ควรพาไปตรวจกับจักษุแพทย์ให้แน่ชัด หากเป็นความผิดปกติจะได้วางแผนการรักษา และลดความเสี่ยงโรคตาอื่น ๆ
การรักษาตาเหล่ ตาเข จะเน้นไปที่การทำให้ดวงตาของเด็กตรงขึ้น จะได้ทำงานประสานกันได้มากขึ้น เช่น การสวมแว่นสายตาหรือแว่นปริซึม (Prism) การฝึกกระตุ้นกล้ามเนื้อตา การคลายกล้ามเนื้อตา การผ่าตัดกล้ามเนื้อตาใหม่ การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือวิธีอื่น ๆ ขึ้นกับชนิดของตาเข
โรคต้อ
โรคต้อที่พบได้บ่อยในเด็กมี 2 ประเภท คือ ต้อกระจก (Cataract) และต้อหิน (Glaucoma) ซึ่งกระทบต่อเลนส์ตาตั้งแต่กำเนิดในลักษณะที่ต่างกัน
- ต้อกระจก จะสังเกตได้จากเลนส์ตาจากสีใสจะกลายเป็นสีขาวขุ่น ทำให้แสงผ่านเข้าสู่จอตาน้อยลง เด็กจึงประสบปัญหามองเห็นไม่ชัดเจน เบลอ หรือมัว
- ต้อหิน เกิดจากความดันในลูกตาสูงทำลายขั้วประสาทตา เลนส์ตาจึงแข็งขึ้น ทำให้มองเห็นได้แคบลงจนมองเห็นเพียงตรงกลางตา มองรอบข้างไม่เห็น
โรคต้อกระจกและต้อหินจำต้องได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี เช่น การหยอดตา การผ่าตัดใส่เลนส์ตาเทียม หรือการทำเลเซอร์ หลังพบความผิดปกติที่ดวงตาเด็ก ผู้ปกครองต้องพาลูกไปพบแพทย์โดยเร็ว มิฉะนั้นอาจเสี่ยงตาบอดได้ในอนาคต
สัญญาณเตือนเข้าข่ายโรคตาในเด็ก พ่อแม่ไม่ควรละเลย
พ่อแม่ควรสังเกตลูกเป็นประจำ หากพบอาการทางสายตาที่ผิดปกติใด ๆ ควรพาลูกไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะอาการต่อไปนี้
- กะพริบตาถี่ ขยี้ตาเป็นประจำ
- มองเห็นเป็นจุดหรือเส้นหยากไย่
- คันตา ไม่สบายตา ตาแดง
- มีขี้ตาหรือน้ำตาไหลมาก
- ตาไวต่อแสง
- ตามองไปทิศทางต่างกัน
- มีปัญหาในการอ่านหรือการทำงานประสานกับอวัยวะอื่น
- เดินชนบ่อย กะระยะทางได้ยาก
เด็กต้องตรวจสุขภาพดวงตาไหม ตรวจบ่อยแค่ไหน
เด็กแรกเกิด เด็กเล็ก เป็นวัยที่อาจอธิบายความเจ็บปวด หรืออาการผิดปกติทางตาได้ไม่ชัดเจนเหมือนผู้ใหญ่
นอกจากพ่อแม่ต้องสังเกตและสอบถามอาการจากลูกแล้ว ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพดวงตาหรือคัดกรองโรคสม่ำเสมอทุกปี โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาสายตาตั้งแต่กำเนิด โดยอาจแบ่งตามช่วงวัยได้ดังนี้
- ช่วงอายุ 0–2 ปี มักตรวจจอประสาทตา การมองเห็น โรคตาขี้เกียจ และโรคตาเหล่
- ช่วงอายุ 2–5 ปี มักตรวจวัดระดับการมองเห็น โรคตาขี้เกียจ และโรคตาเหล่ได้ดีขึ้น
- ช่วงอายุ 5 ปีขึ้นไป มักตรวจหาภาวะสายตาผิดปกติ สายตาสั้น ยาว หรือเอียง ระดับการมองเห็น การเคลื่อนไหวของลูกตา ความดันในลูกตา หรือโรคตาบอดสี
การตรวจคัดกรองโรคทางตาจะช่วยให้เด็กเข้าถึงการรักษาได้ทันท่วงที ลดปัญหาโรคตาที่พบบ่อยในเด็ก ลดความเสี่ยงของการสูญเสียการมองเห็น ช่วยให้ความสามารถในการมองเห็นดีขึ้นด้วย
ปีนี้พาลูกไปตรวจตาหรือยัง? ถ้ายังก็รีบค้นหาโปรแกรม ตรวจสุขภาพตา ได้เลย HDmall.co.th คัดโปรราคาพิเศษ จากสถานพยาบาลใกล้บ้านมาให้คุณพ่อคุณแม่แล้ว!