การมองเห็นแย่ลงเป็นเรื่องปกติเมื่ออายุมากขึ้น แต่หลายครั้งก็เป็นผลจากโรคตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ อย่างต้อกระจก ต้อหิน จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม และเบาหวานขึ้นตา
หากละเลยปัญหาไป อาจเสี่ยงสูญเสียการมองเห็นได้ มาทำความรู้จักกับโรคตายอดฮิตเหล่านี้ พร้อมสัญญาณเตือนที่ควรพาผู้สูงอายุที่บ้านไปตรวจคัดกรองกัน!
สารบัญ
4 โรคตาพบบ่อยในผู้สูงอายุ
การก้าวเข้าสู่วัยสูงอายุหรือราว 40–50 ปีขึ้นไป มักมาพร้อมกับความเสื่อมของดวงตา การมองเห็นที่ถดถอย รวมถึงความเสี่ยงของโรคตาที่มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะโรคตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุดังต่อไปนี้
1. ต้อกระจก (Cataract)
ต้อกระจกเป็นภาวะเลนส์แก้วตาขุ่นมัวและแข็งขึ้น ซึ่งเลนส์ตาจะทำหน้าที่หักเหแสงให้ตกกระทบบนจอตาแล้วเกิดเป็นภาพ เมื่อเลนส์ตาที่ควรใสกลับขุ่นขึ้นมาจะส่งผลให้แสงผ่านเข้าสู่จอตาได้น้อยลง
ผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว เหมือนเป็นฝ้า ตาไวต่อแสง มองเห็นภาพซ้อน มองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นลดน้อยลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเลนส์ตาขุ่นมากหรือรุนแรงขึ้น
สาเหตุของต้อกระจกมักเกิดจากอายุที่มากขึ้นหรือความเสื่อมตามธรรมชาติ ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคก็เช่น แสงแดด โรคตา โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง อุบัติเหตุทางตา กรรมพันธุ์ และการใช้ยาบางชนิด
ต้อกระจกไม่สามารถรักษาด้วยยาชนิดทานหรือยาหยอดตาได้ จำต้องได้รับการผ่าตัดต้อหรือสลายต้อด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อเปลี่ยนใส่เลนส์แก้วตาเทียมให้กลับมามองเห็นได้ดังเดิม
2. ต้อหิน (Glaucoma)
ต้อหินไม่มีรูปร่าง ไม่ได้มีลักษณะเป็นก้อนหินอยู่ในดวงตา ผู้สูงอายุหลายคนเลยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นต้อหิน โดยเฉพาะในระยะแรกของโรค จนกว่าการมองเห็นจะเปลี่ยนไปจากเดิม
สาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดต้อหินในผู้สูงอายุมักมาจากความดันภายในลูกตาที่ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น จนไปกดทำลายขั้วประสาทตาบริเวณด้านหลังลูกตา ซึ่งเชื่อมตรงนำส่งสัญญาณภาพไปสู่สมอง ทำให้มองภาพกว้างได้แคบเข้ามาตรงกลางเรื่อย ๆ ตามัวลง และตาบอดถาวรในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ทำลายขั้วประสาทตาหรือทำให้ขั้วประสาทตาเสื่อม จนนำไปสู่การเกิดต้อหิน เช่น อายุมาก กรรมพันธุ์ โรคประจำตัวอย่างเบาหวานและความดันสูง เลนส์ตาบาง อุบัติเหตุที่ตา การผ่าตัดตา หรือการใช้ยาสเตียรอยด์บางชนิด
ปัจจุบันการรักษาต้อหินทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละคน เช่น การใช้ยาหยอดตาหรือยาลดความดันในลูกตา การใช้เลเซอร์ และการผ่าตัด การรักษาจะช่วยชะลอโรคไม่ให้แย่ลง แต่ไม่สามารถช่วยให้การมองเห็นกลับมาเป็นปกติได้
3. จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular degeneration)
โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม จะทำให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพตรงกลางไม่ชัด แต่ภาพรอบข้างยังมองเห็นได้ปกติ บ้างก็เห็นภาพบิดเบี้ยว หรือเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลาง
เนื่องจากจุดภาพชัดบริเวณกลางจอประสาทตานั้นเสื่อมลงหรือเซลล์บริเวณนั้นถูกทำลายจากหลายปัจจัย เช่น การสะสมของสารอนุมูลอิสระ พันธุกรรม อายุที่มากขึ้น แสงแดด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง การติดเชื้อ จนถึงพฤติกรรมการสูบบุหรี่
ผู้ป่วยจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา การทำเลเซอร์ การผ่าตัดวุ้นตาหรือจอตา โดยแพทย์จะติดตามโรคอย่างต่อเนื่อง เพื่อชะลออาการ ลดความรุนแรงของโรค และป้องกันการเกิดซ้ำ
4. เบาหวานขึ้นตา (Diabetic retinopathy: DR)
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน โดยมีน้ำตาล (Glucose) เป็นตัวการทำลายหลอดเลือดฝอยทั่วร่างกาย ซึ่งดวงตาเป็นแหล่งรวมหลอดเลือดมากมาย จึงได้รับผลกระทบไปด้วย
หากผู้ป่วยดูแลควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดีอาจเสี่ยงเบาหวานขึ้นตา ทำให้เกิดจุดเลือดออกในจอตา มองเห็นจุดหรือเส้นคล้ายหยากไย่ ตาพร่ามัว สายตาแย่ลง แยกสีไม่ได้ เลือดออกในวุ้นตา จอตาลอก และเสี่ยงตาบอดได้
โรคนี้ลดความเสี่ยงหรือชะลออาการไม่ให้ลุกลามได้ หากผู้ป่วยเบาหวานหมั่นควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ร่วมกับการผ่าตัดหรือทำเลเซอร์ตามดุลยพินิจของแพทย์
สัญญาณบ่งบอกปัญหาทางสายตาที่ไม่ควรละเลย
ปัญหาทางสายตามีหลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค บางอาการอาจไม่รุนแรง ทำให้หลายคนคิดว่าเป็นปัญหาตามช่วงวัย หากพบความผิดปกติใด ๆ เกี่ยวกับดวงตา ควรไปพบจักษุแพทย์ โดยเฉพาะอาการต่อไปนี้
- มองเห็นแบบภาพเบลอ ภาพซ้อน หรือมองเห็นไม่ชัดฉับพลัน
- อาการบวมหรืออักเสบรอบดวงตา
- อาการปวดศีรษะที่ทานยาแล้วไม่ได้ผล
- ตาแดง ตาแห้ง คันตา แสบตา
- มีขี้ตาหรือน้ำตาไหลในปริมาณมาก
- ตาไวต่อแสง
- มองเห็นเป็นจุดหรือเส้นคล้ายหยากไย่ลอยไปมา
- มองเห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช
- ตาบอดกลางคืน หรือการมองเห็นในที่มืดแย่ลง
จำเป็นต้องสุขภาพตาบ่อยแค่ไหน ตรวจตอนไหน
คนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ไม่เฉพาะกับต้อกระจก ต้อหิน โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม หรือโรคเบาหวานขึ้นตาเท่านั้น จึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพดวงตากับจักษุแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี
ส่วนคนที่อายุต่ำกว่า 40 ปี แต่หากมีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง คนในครอบครัวมีประวัติโรคทางตา ใช้สายตาหนัก สวมคอนแทคเลนส์ หรือใช้ยาที่ส่งผลต่อดวงตา ควรตรวจตาเป็นประจำเช่นกัน
เพราะยิ่งตรวจเจอเร็ว วางแผนการรักษาและชะลอโรคได้เหมาะสม ความเสี่ยงของโรคทางตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุเหล่านี้ รวมถึงภาวะตาบอดอาจลดลง ช่วยเสริมคุณภาพชีวิตในบั้นปลายได้เป็นอย่างดี
ตาฝ้าฟาง มองไม่ชัด เป็นเรื่องปกติของคนแก่ อาจไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป รีบ ตรวจสุขภาพตา ให้ชัวร์ก่อนสาย HDmall.co.th รวมโปรแกรมตรวจราคาดีมาให้คนที่คุณรักแล้ว