Ciprofloxacin (ไซโปรฟลอกซาซิน)

Ciprofloxacin (ไซโปรฟลอกซาซิน) คือ ยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาอาการติดเชื้อจากแบคทีเรียหลากหลายชนิด และมีผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง จึงมักจะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อยาปฏิชีวนะตัวอื่น ๆ ที่ปลอดภัยกว่าแต่ยังรักษาไม่เห็นผล ในไทยส่วนใหญ่นิยมใช้ Ciprofloxacin 500 mg ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

สรรพคุณยา Ciprofloxacin ใช้รักษาอะไรบ้าง

  • รักษาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ
  • รักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ หลอดลมอักเสบ และการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่ไม่ซับซ้อน
  • รักษาการติดเชื้อในระบบย่อยอาหาร เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในลำไส้
  • รักษาการติดเชื้อในผิวหนังและเนื้อเยื่ออ่อน เช่น ฝี แผลติดเชื้อ
  • รักษาการติดเชื้อทางกระดูกและข้อ เช่น กระดูกอักเสบ
  • รักษาการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน

กลไกการออกฤทธิ์ของยา Ciprofloxacin

ยาไซโปรฟลอกซาซินเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolone) มีกลไกออกฤทธิ์ดังนี้

ยับยั้งเอนไซม์ DNA Gyrase และ Topoisomerase IV

  • DNA Gyrase: เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการคลายความหนาแน่นของสาย DNA ทำให้ DNA สามารถเปิดและถูกถอดรหัสหรือจำลองตัวได้ (replication) เมื่อยับยั้งเอนไซม์นี้จะทำให้ DNA ของเชื้อไม่สามารถเปิดเพื่อการสืบพันธุ์ได้ ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตและสืบพันธุ์ได้
  • Topoisomerase IV: เป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการแบ่งตัวของแบคทีเรีย โดยทำหน้าที่แยกสาย DNA ที่ถูกจำลองมาใหม่ออกจากกัน เมื่อยับยั้งเอนไซม์นี้ การแบ่งตัวของเซลล์แบคทีเรียจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้

ทำลายโครงสร้างของ DNA ของเชื้อแบคทีเรีย

  • เมื่อยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ DNA Gyrase และ Topoisomerase IV, สาย DNA ของแบคทีเรียจะเกิดการพันกันหรือขดตัวเกินไป ทำให้ DNA ของเชื้อแบคทีเรียเกิดความเสียหาย และส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตได้หรือถูกฆ่าตาย

Ciprofloxacin ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ DNA Gyrase และ Topoisomerase IV ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการคลายความหนาแน่นของ DNA และช่วยในการแบ่งตัวของเซลล์แบคทีเรีย เมื่อเอนไซม์เหล่านี้ถูกยับยั้ง กระบวนการจำลอง DNA และการแบ่งเซลล์ของแบคทีเรียจะถูกยับยั้ง ส่งผลให้แบคทีเรียไม่สามารถเจริญเติบโตหรือสืบพันธุ์ได้ ทำให้แบคทีเรียตาย

รูปแบบยา Ciprofloxacin

ยาไซโปรฟลอกซาซินส่วนใหญ่ในไทยนิยมแบบ Ciprofloxacin 500 mg และมีจำหน่ายในรูปแบบต่าง ๆ ต่อไปนี้

  • ยากิน รูปแบบเม็ด ประกอบด้วยไซโปรฟลอกซาซิน ขนาด 250 และขนาด 500 มิลลิกรัม
  • ยาฉีด ประกอบด้วยไซโปรฟลอกซาซินเข้มข้น 100 มิลลิกรัม ในยาฉีด 50 มิลลิลิตร
  • ยาหยอดหู

วิธีใช้และวิธีกินยา Ciprofloxacin

ยา Ciprofloxacin รูปแบบเม็ดสำหรับกิน กินก่อนอาหาร หลังอาหาร หรือตอนท้องว่างก็ได้ แต่ควรกินเวลาเดียวกันทุกวัน

  • รักษาการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง การติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน และการติดเชื้อที่ผิวหนัง
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7–14 วัน
  • รักษากรวยไตอักเสบ ชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อน
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
    กรณีมีภาวะแทรกซ้อน ให้กิน 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน
  • รักษาต่อมลูกหมากอักเสบจากการติดเชื้อ
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ถ้าเป็นอาการเฉียบพลัน ให้กินเป็นเวลา 2–4 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นเรื้อรัง ให้กินเป็นเวลา 4–6 สัปดาห์
  • รักษาไทฟอยด์
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
  • รักษาอาการท้องเสีย
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1–5 วัน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของเชื้อที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
  • รักษาการติดเชื้อที่กระดูกและข้อ
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ใช้ยาติดต่อกันนานที่สุดไม่เกิน 3 เดือน
  • รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ ชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อน
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 250–500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน
    สำหรับชนิดมีภาวะแทรกซ้อน ให้กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
  • รักษาและป้องกันหลังจากการได้รับเชื้อแอนแทรกซ์ผ่านการสูดดม
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง จนครบ 60 วัน หลังจากได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อบาซิลลัส แอนทราซิส (Bacilus anthracis) ที่ก่อให้เกิดโรคแอนแทรกซ์
  • รักษาการติดเชื้อในช่องท้อง
    ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 500–750 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5–14 วัน

ยา Ciprofloxacin ชนิดยาฉีดเข้าหลอดเลือดดำ

  • รักษาการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง และการติดเชื้อที่ผิวหนัง
    ผู้ใหญ่ ให้ยาแบบ Infusion นานกว่า 60 นาที ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือวันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 7–14 วัน
  • รักษาต่อมลูกหมากอักเสบจากการติดเชื้อ
    ผู้ใหญ่ ให้ยาแบบ Infusion นานกว่า 60 นาที ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 28 วัน
  • รักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ชนิดมีภาวะแทรกซ้อน
    ผู้ใหญ่ ให้ยาแบบ Infusion นานกว่า 60 นาที ครั้งละ 200–400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7–14 วัน
  • รักษาและป้องกันการติดเชื้อแอนแทรกซ์หลังจากการสูดดมเชื้อ
    ผู้ใหญ่ ให้ยาแบบ Infusion นานกว่า 60 นาที ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 60 วัน
  • รักษาการติดเชื้อที่กระดูกและข้อ
    ผู้ใหญ่ ให้ยาแบบ Infusion นานกว่า 60 นาที ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4–12 สัปดาห์

Ciprofloxacin ห้ามกินร่วมกับอะไร

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อทาน Ciprofloxacin มีดังนี้

1. แร่ธาตุ

  • Ciprofloxacin อาจจะลดการดูดซึมได้ถ้าทานร่วมกับแร่ธาตุเช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, เหล็ก หรือสังกะสี
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ควรทานก่อนหรือหลังทาง Cirpfolaj

Ciprofloxacin อาจจะลดการดูดซึมได้ถ้าทานร่วมกับแร่ธาตุเช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, เหล็ก หรือสังกะสี

2. ยาที่มีผลต่อการทำงานของตับ

ยาบางชนิด เช่น theophylline (ใช้สำหรับรักษาภาวะหืด), warfarin (ยาต้านการแข็งตัวของเลือด), หรือยากันชักบางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับ Ciprofloxacin

3. ยาต้านกรด

ยาต้านกรดที่มีแมกนีเซียมและอะลูมิเนียม เช่น Antacids, sucralfate หรือ H2 blockers (เช่น ranitidine) ควรหลีกเลี่ยง เพราะลดการดูดซึมยาลง

4. คาเฟอีน

หากคุณมีความไวต่อคาเฟอีน ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจทำให้อาการใจสั่น นอนไม่หลับ หรืออัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ

ถ้าคุณทานยาอื่นๆ อยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนที่จะใช้ Ciprofloxacin ร่วมกับยาอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์

ผลข้างเคียงยา Ciprofloxacin

ยา Ciprofloxacin อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง กลืนลำบาก ปวดศีรษะ มึนงง สับสน นอนไม่หลับ สั่น ง่วงซึม ฝันร้าย เห็นภาพหลอน ไวต่อแสง ยาตกผลึกในปัสสาวะ ค่าไนโตรเจนในกระแสเลือด (Blood urea nitrogen: BUN) สูงขึ้น ค่าการทำงานของตับผิดปกติ หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ บวมน้ำ วูบ ส่งผลต่อเส้นเอ็น และในกรณีที่เป็นยาฉีด อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณที่ฉีดได้ด้วย

นอกจากนี้ ตัวยายังมีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น แพ้ยาจนทำให้หน้าบวม ปากบวม คอบวม เป็นลมพิษ หายใจลำบาก หรือท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium difficile (CDAD)

การได้รับยาเกินขนาดอาจทำให้มึนงง ปวดศีรษะ สั่น หนื่อย ชัก เห็นภาพหลอน สับสน ไม่สบายท้อง หรือส่งผลต่อการทำงานของตับและไตได้ ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปหาหมอทันที

ข้อควรระวังในการใช้ยา Ciprofloxacin

  • ไม่ใช้ยากับผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ หรือแพ้ยาในกลุ่มควิโนโลน (Quinolone)
  • ไม่ใช้ยากับผู้ป่วยที่กำลังใช้ยาทิซานิดีน (Tizanidine)
  • การใช้ยา Ciprofloxacin อาจมีผลข้างเคียงเป็นอาการมึนงงหรือง่วงซึม ในระหว่างที่ใช้ยาจึงไม่ควรขับรถหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักร จนกว่าจะแน่ใจว่ายาไม่ส่งผลให้รู้สึกมึนงงหรือง่วงซึม
  • การใช้ยาไซโปรฟลอกซาซินอาจมีผลข้างเคียงเป็นอาการมึนงงหรือง่วงซึม จึงไม่ควรขับรถหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้เครื่องจักรในระหว่างที่ใช้ยา หรือจนกว่าจะแน่ใจว่ายาไม่ส่งผลให้รู้สึกมึนงงหรือง่วงซึม
  • หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจ้า ควรใส่เสื้อผ้าปกปิดให้มิดชิดถ้าต้องตากแดด และควรทาครีมกันแดดอยู่เสมอ เนื่องจากยาอาจมีผลข้างเคียง ทำให้ผิวไวต่อแสงได้
  • ก่อนใช้ยา ควรแจ้งหมอก่อนเสมอ ถ้ามีอาการดังนี้
    • มีอาการชัก หรือโรคลมชัก
    • เป็นโรคระบบประสาทส่วนกลาง
    • เป็นโรคพร่องเอนไซม์ G6PD
    • มีภาวะการเต้นของหัวใจผิดจังหวะแบบ QT interval prolongation
    • เคยได้รับปลูกถ่ายไต หัวใจ ปอด
    • เป็นโรคตับหรือโรคไต

ยานี้ไม่ได้มีผลในการรักษาการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และไม่ควรใช้ยานี้เกินกว่าที่แพทย์แนะนำ เนื่องจากอาจทำให้เกิดการดื้อยาของแบคทีเรียได้

เมื่อลืมกินยา Ciprofloxacin ต้องทำอย่างไร

ถ้าลืมกินยา ให้กินทันทีที่นึกออก โดยไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า ในกรณีที่นึกออกตอนใกล้เวลากินยาอีกรอบ ให้ข้ามไปกินมื้อถัดไปได้เลย และไม่ต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่าอีกเหมือนกัน

 

ข้อมูลในการใช้ยา Ciprofloxacin ในผู้มีครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตร

ยาไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) จัดอยู่ในกลุ่มยาประเภท C เป็นยาที่เสี่ยงต่อความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์

ควรระมัดระวังการใช้ยานี้กับผู้มีครรภ์และผู้ที่กำลังให้นมบุตร และก่อนใช้ยาต้องพูดคุยกับหมอถึงวิธีใช้ยา ประโยชน์ และอันตรายจากการใช้ยาด้วย


ตรวจสอบความถูกต้องโดย ทีมแพทย์ HD

Scroll to Top