สารบัญ
ทำไมถึงใช้บริการ Ice Lab
เทนเคยอ่านหนังสือเรื่อง Tools of Titans ซึ่งเขียนโดย Tim Ferriss หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของ New York Times เนื้อหาเป็นการสัมภาษณ์ผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ ระดับโลก เช่น แจ็ค ดอร์ซีย์ (Jack Dorsey) CEO ของ Twitter หรือ อาโนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) คนเหล็กที่คนไทยรู้จักกันดีว่า มีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองอย่างไร และหลายๆ คนก็พูดถึงการบำบัดด้วยความเย็น หรือ Cryotherapy
ส่วนดาราและนักกีฬาคนอื่นๆ ที่ใช้การบำบัดความเย็น (ดูที่มาของข้อมูลได้ด้านล่าง) ยูเซน โบลต์ (Usain Bolt) นักวิ่งลมกรด ไมเคิล เฟลบปส์ (Michael Phelps) นักว่ายน้ำตำนานโอลิมปิก เคที เพร์รี่ (Katy Perry) นักร้องชาวอเมริกัน
เทรนเนอร์ของเทนที่ยิม เรียกเทนว่า “Limited Edition” เพราะเล่นท่าได้จำกัดมาก ถึงแม้ท่าจะถูก แต่ถ้าย่อบางทีก็จะปวดเข่าขวาข้างเดียว (อดเป็นสายย่อเลย) หรือถ้าก้มบางทีก็ปวดหลังล่าง ทางเทรนเนอร์เลยต้องปรับท่าให้ตลอด โดยเฉพาะข้อมือขวาที่มีถุงไขข้ออยู่ซึ่งเจ็บเรื้อรัง เลยอยากมาลองทำ Ice Lab ดูว่า มันจะช่วยฟื้นฟูร่างกายเทนได้ยังไงบ้าง
ตอนที่เข้ารับบริการเห็นพนักงานแอบบอกว่า นอกจากจะช่วยเรื่องฟื้นฟูร่างกายแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวพรรณ และเผาผลาญแคลอรี่ด้วย เลยมีคนมีชื่อเสียงมาใช้บริการกันเยอะ อย่างเวียร์ เบลล่า หรือพวกนักกีฬาฟุตบอลดังๆ อย่างชัปปุยส์ก็มา
ทำไมถึงเลือกใช้บริการที่ Apex Medical Center
หลังจากที่ได้เข้า Google ศึกษาจนอยากทำ Cryotherapy แล้ว ก็เข้า Google ต่อทันทีว่า ที่ไทยทำได้ที่ไหนบ้าง สรุปก็คือ “ไม่ต้องหาเยอะ! เพราะมีอยู่ที่เดียวในไทยที่ Apex Medical Center เลย” (ข้อมูลเดือนตุลาคม 2019) ส่วนตัวรู้จัก Apex อยู่แล้ว ว่าเป็นคลินิกที่มีเครื่องมือต่างๆ ทันสมัย เลยไม่คิดมากเลยค่ะ แต่ที่คิดมากคือ เรื่องความเย็นและเรื่องราคา!
อันดับแรกเลยกลัวทนหนาวไม่ไหว เพราะปกติเทนขี้หนาวอยู่แล้ว จากภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำแบบไม่มีอาการ (Subclinical Hypothyroidism) ขนาดแอร์ที่ออฟฟิศยังทำให้หนาวจนเล็บม่วงได้ แล้วที่ความเย็น -110 องศา เล็บเราจะเป็นสีอะไร
อันดับที่สองคือ ราคามันแพงมากๆ One Day Pass บัตรผ่าน 1 วันอยู่ที่วันละ 5,000 บาท! นี่ถ้าลองแล้วทนหนาวไม่ไหวก็เหมือนเอาเงินไปตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ(แข็ง)
ด้วยเหตุนี้เลยยังไม่มีโอกาสได้ลอง Ice Lab ดูสักที จนวันที่ 9 เดือน 9 HonestDocs ลดราคา Ice Lab พิเศษจากวันละ 5,000 บาท เหลือแค่วันละ 1,000 บาท รออยู่แล้ว ก็เลยจัดเลย!
วันที่นัดเทนขับรถไป พอเห็นโรงแรม JW Marriott ปุ๊บก็เลี้ยวซ้ายปั๊บเลย เป็นถนนเลียบทางพิเศษเฉลิมมหานคร ถนนข้างโรงงานยาสูบ หรือถนนดวงพิทักษ์ ทั้ง 3 ถนนนี้คือ ถนนเดียวกัน แล้วแต่จะเรียกเลยค่ะ ขับไปเรื่อยๆ ก็จะเจอ Apex Medical Center อยู่ด้านซ้ายมือ ตึกใหญ่มีหลายชั้น มีป้ายสีม่วงมาแต่ไกล มีที่จอดรถค่อนข้างเยอะเลย
หรือถ้าใครจะไป BTS อาจจะไปถึงก่อนเวลาซักหน่อย ลงสถานีเพลินจิต แล้วก็โทรให้ทาง Apex เอารถกอล์ฟไปรับที่สถานี BTS แบบสวยๆ ได้เลยจ้า
กดดู Google Maps แผนที่ Apex Medical Center สาขาเพลินจิต
ขั้นตอนการใช้บริการ Ice Lab
เสต็ปแรก ทางสต๊าฟจะให้เราวัดความดันก่อน แล้วคุณหมอก็จะถามว่า
- กลัวที่แคบหรือเปล่า
- ในตัวมีโลหะมั้ย เช่น การดามกระดูก
- แล้วเวลาไปเที่ยวที่เย็นๆ แพ้มั้ย เพราะบางคนจะแพ้อากาศเย็น
ที่ต้องถามแบบนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของเรานั่นเอง เพราะถ้าไม่ผ่าน ทาง Apex ก็จะไม่ให้เรารับบริการ Ice Lab โดยไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ ส่วนของเทน ค่าความดันปกติและไม่มีทั้ง 3 อย่างนี้เลย ก็ผ่านเข้าสู่สเต็ปต่อไปได้ สต๊าฟจะพาไปห้อง Ice Lab ซึ่งอยู่ข้างล่าง พอถึง Ice Lab ทางสต๊าฟก็จะยืนยันกับเราอีกทีถึง 3 ข้อด้านบน ถือว่า รัดกุมมากๆ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะให้เราเปลี่ยนเสื้อผ้า
ผู้หญิงก็จะให้ใส่สปอร์ตบรากับกางเกงขาสั้นเหมือนกางเกงนอน ให้ใส่ทับกางเกงในเราได้เลย ส่วนผู้ชายจะให้ใส่กางเกงอย่างเดียว แต่สต๊าฟจะมีเสื้อคลุมให้อีกชั้นเวลาที่เราเดินอยู่ข้างนอก หรือเวลานั่งพักค่ะ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะโป๊
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็จะให้ใส่อุปกรณ์ขั้นสุดท้ายก่อนเข้าห้อง Ice Lab เพื่อปกป้อง 3 จุดของร่างกาย หู มือ และเท้า ไม่ให้เย็นเกินไป คือ
- ถุงมือ สำหรับผู้หญิงจะได้ใส่ถุงมือสองชั้น มีชั้นในกับชั้นนอก ส่วนของผู้ชายจะใส่ถุงมือแค่ชั้นเดียวเพราะชั้นในขนาดมันเล็กเกินไป
- ถุงเท้าและรองเท้าของทางคลินิก มีให้เลือกหลายไซส์มาก ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีไซส์ของเราค่ะ
- ผ้าคาดหัวปิดหู ทับด้วยที่ครอบหูอีกชั้นนึง
พอแต่งตัวเสร็จ ก่อนจะเข้าห้อง Ice Lab สต๊าฟก็จะมาอธิบายขั้นตอนการทำให้เราฟังซ้ำๆ อีก 2-3 รอบ ว่า พอเข้าไปในนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงจะรู้สึกค่อนข้างปลอดภัยแต่เทนก็ยังตื่นเต้นอยู่นะ กลัวหนาว กลัวทนไม่ไหว
โดยสรุปก็คือ Ice Lab มี 3 ห้อง 3 ระดับความเย็น ห้องแรกความเย็น -10 องศา ห้องที่ 2 -60 องศา และห้องที่ 3 -110 องศา 2 ห้องแรกเอาไว้ให้ร่างกายปรับตัวกับความเย็นที่เพิ่มขึ้นๆ แต่เราจะใช้เวลาใน 2 ห้องนี้ไม่ถึง 10 วินาที แค่เดินผ่านเฉยๆ และจะอยู่ที่ห้องสุดท้าย -110 องศา นานที่สุด คือ 3 นาที
ตอนแรกแค่ 2 ห้องแรกที่ต้องเดินผ่านก็กลัวแล้ว แต่เอาเข้าจริง 2 ห้องแรกคือสบายมาก สดชื่น แต่พอเข้าไปถึงห้องสุดท้ายปั๊บ มันก็รู้สึกว่า เย็นมาก แต่มันไม่ได้หนาวเหมือนที่กลัว เย็นแบบไม่หนาวน่าจะเป็นความรู้สึกเหมือนเวลาเราเปิดตู้เย็น มีไอเย็นมาโดนเราแบบสดชื่น แต่เราไม่ได้หนาวสั่น ทนได้สบายๆ
ห้องสุดท้ายนี้เขาจะให้เราใช้เวลาอยู่ในนั้นนานสุดคือ 3 นาที และทุกๆ 30 วินาที จะมีสต๊าฟคอยบอกตลอดว่า 30 วินาทีแล้วค่ะ แล้วพอ 10 วินาทีสุดท้ายก็จะมีนับถอยหลัง 10 – 9 – 8 – 7 ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่เราต้องทำตอนที่อยู่ในห้องที่ 3 คือ ค่อยๆ เดินวนๆ ไปเรื่อยๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเรากำลังอยู่ในสารคดีอ้ะ ที่เวลาเพนกวินหลบพายุหิมะแล้วต้องค่อยๆ เดินเกาะๆ ไปด้วยกัน มันเหมือนแบบนั้นเลยเว้ย
ระหว่างที่เราเดินในห้องมันก็จะมีเปิดเพลงคลอๆ ไปด้วย รอบแรกได้เพลง Believer ของ Imagine Dragons ส่วนรอบสองได้เพลง Shape of You ของ Ed Sheeran ช่วยให้เราผ่อนคลายหน่อย ไม่หดหู่เกินไปเวลาเดินวนๆ อยู่ในห้องหนาวๆ
แล้วสต๊าฟก็บอกด้วยว่า ตรงไหนที่เราปวดก็ให้ค่อยๆ ยืดเบาๆ ช้าๆ เขาบอกว่า อย่าทำอะไรเร็วๆ เดี๋ยวกล้ามเนื้อ หรือผิวหนังจะบาดเจ็บได้ แล้วให้หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สต๊าฟบอกว่า ระหว่างที่อยู่ในห้องสุดท้ายเนี่ย เวลาหายใจเข้า ออกซิเจนจะเข้าปอดเราเป็น 2 เท่า
พอเดินไปซัก 1 นาที ความเย็นมันจะเริ่มจะเปลี่ยนเป็นความหนาว ผิวหนังจะเริ่มตึง อาจจะมีเจ็บจิ๊ดๆ นิดๆ แต่เดี๋ยวมันจะหายไปเพราะเราจะเริ่มชาแทน 555 โดยจะเริ่มรู้สึกชาที่นิ้วมือก่อนเลย (ซึ่งทางสต๊าฟมีแจ้งไว้แล้ว) จากนั้นให้เราค่อยๆ ขยับๆ นิ้วขึ้นลงไปเรื่อยๆ รอบแรกที่เข้า Ice Lab เทนไม่สั่นเลย แต่ไปสั่นตอนเข้ารอบ 2
ถ้ารู้สึกไม่ไหวแล้ว เราก็สามารถยกมือขึ้นทำสัญลักษณ์กากบาทได้ แล้วสต๊าฟที่คอยดูแลผ่านจอควบคุมและกล้องวงจรปิดอยู่ข้างนอกห้องก็จะเข้ามาดูแล หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ เราก็สามารถเปิดประตูผ่านห้อง -60 และ -10 องศาออกมา เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวก่อน โดยห้องของ Ice Lab จะเป็นแบบเข้าออกทางเดียวเพื่อความปลอดภัยค่ะ
ตอนเดินวนๆ เทนก็มีนึกอยู่หลายทีว่าจะเดินออกไปแล้วดีมั้ย แต่ก็คิดว่า อีกหน่อยน่ายังไหว ก็เลยเดินต่อไปเรื่อยๆ หลังจาก 1 นาทีไปจนถึงจบครบ 3 นาที ก็แค่มีเจ็บผิวเล็กน้อยและเย็นจนชาแบบทนได้ แต่พอสต๊าฟนับถอยหลังถึง 0 แล้ว เทนก็รีบเปิดประตูเดินออกมาเลยนะ 555 สต๊าฟก็จะพาเราออกมายืนอยู่หน้าพัดลมประมาณไม่เกิน 2 นาที เพื่อให้ไล่ความชื้นออก
ในการทำ Ice Lab คุณหมอเแนะนำว่า ให้ทำ 3 session ต่อวัน ทำอาทิตย์ละวันก็ได้ แล้วระหว่าง 3 session ก็ให้พัก 1 ชั่วโมงก่อน แล้วค่อยเข้าไปทำใหม่ เบ็ดเสร็จจะใช้เวลาแต่ละ session ไม่นาน แค่ประมาณ 4 นาที ระหว่างรอก็มีที่นั่งพัก มีเก้าอี้นวด มีชา กาแฟ น้ำขิง น้ำมะตูมบริการเรียบร้อย ไม่เบื่อเลยค่ะ
ผลลัพธ์ของการใช้บริการ Ice Lab
ความรู้สึกแรกคือ สะใจดีมาก เฟรชสุดๆ หนาว แต่มันสดชื่นมาก ความรู้สึกเหมือนตอนที่แช่บ่อน้ำเย็นหลังจากแช่ออนเซ็นมา พอสต๊าฟถามว่า จะเข้าอีกครั้งมั้ย เลยบอกไปอย่างลืม 3 นาทีที่ผ่านมาไปอย่างรวดเร็วว่า “เข้าค่ะ” พร้อมกับรับน้ำขิง หรือน้ำมะตูมอุ่นๆ ที่สต๊าฟชงให้มาดื่ม
พอออกมาแล้วผิวจะรู้สึกจิ๊ดๆ ตรงรูขุมขน ผิวหนังบางทีจะมีตุ่มๆ ขึ้นเหมือนขนลุกนะ ตลกดี แต่ไม่ได้มีความรู้สึกผิดปกติอะไร
แล้วที่เทนมาลองใช้บริการ Ice Lab ส่วนหนึ่งก็เพราะเทนมีอาการปวดตรงข้อมือ ซึ่งต้องรอดูว่า อาการปวดดีขึ้นมั้ย แต่รู้แน่ๆ ว่าคืนนั้นหลับดีมาก หลับลึกกว่าปกติ จากการแทรคการนอนด้วยแหวน Oura Ring ได้คะแนนการนอนหลับสูงดีมากๆ เลยค่า
แต่เสียดายอย่างหนึ่งคือ เทนไม่ได้ทำให้ครบ 3 session อย่างที่คุณหมอแนะนำคือ ทำไปแค่ 2 session ก็ต้องไปทำธุระต่อแล้ว ขนาดทำแค่ 2 ครั้ง ยังรู้สึกสดชื่นมากขนาดนี้ แล้วถ้าทำครบทั้ง 3 session อย่างต่อเนื่องด้วยเนี่ย เทนคิดว่า ร่างกายเรามันก็น่าจะรีเฟรช สุขภาพดีขึ้นมาอีกเยอะเลยล่ะ
อีกอย่างคือ Ice Lab มันเหมือนเป็นการเอาชนะใจตัวเองด้วยนะว่า แกจะกล้าเข้าไปอยู่ในห้องอุณหภูมิติดลบขนาดนั้นได้มั้ย ซึ่งเวลา 3 นาทีในห้อง -110 องศา เนี่ย เอาจริงๆ มันนานมาก แต่ถ้าเราสามารถทำได้จนครบเวลา เทนว่า เราก็จะรู้สึกดีกับตัวเองด้วยเหมือนกันว่า “เฮ้ย ฉันทำสำเร็จแล้วว่ะแก!”
รวมบทความที่เกี่ยวข้องกับ Ice Lab
- ประโยชน์จากความเย็น
- ลมพิษจากการสัมผัสความเย็น
- ทำความรู้จักเทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis)