ปวดหัวข้างขวา เกิดจากอะไร บรรเทาอาการยังไง

อาการปวดหัวไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่บริเวณใดก็ตาม เช่น ขมับทั้ง 2 ด้าน ปวดด้านซ้ายหรือขวา หรือปวดหัวลามไปถึงบริเวณดวงตาหรือเบ้าตา ย่อมต้องมีสาเหตุและที่มาที่ไปของอาการ รวมถึงวิธีแก้ไขอาการปวดหัวข้างเดียว

มีคำถามเกี่ยวกับ ปวดหัวข้างขวา? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

การปวดหัวข้างขวาก็เช่นกันกับการปวดหัวบริเวณอื่น ซึ่งอาการปวดดังกล่าวอาจเกิดจากการปวดฟัน แล้วส่งผลกระทบมาถึงอาการปวดหัว หรือประสบปัญหาภาวะความเครียด ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องสังเกตตนเองอยู่เสมอ เพื่อจะได้ทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเจ็บหัวข้างขวานั้นเกิดจากอะไร และหาวิธีแก้ไขได้

ลักษณะอาการปวดหัวข้างขวา

อาการปวดหัวซีกข้างขวาจะมีความรุนแรงและลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยอาจเป็นไปตามต้นเหตุของโรค หรือความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังนี้

  1. โรคไมเกรน

โรคไมเกรน (Migraine) เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวโดยอาจปวดเพียงข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น หรือปวดทั้ง 2 ข้างก็ได้ และอาจมีอาการปวดตุ้บๆ แปล๊บๆ เล็กน้อยร่วมด้วย หรือผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดจี๊ดๆ เหมือนรู้สึกเจ็บเป็นจังหวะอยู่ในหัว และสุดท้ายก็จะปวดลามไปทั้งศีรษะ และอาจลามลงมาท้ายทอยได้อีกด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ โรคไมเกรนยังมักจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยคือ ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และหิวบ่อย แต่โรคไมเกรนจะไม่มีอาการปวดทั้งวัน โดยอาจปวดเป็นพักๆ แล้วหายไปภายใน 72 ชั่วโมง สาเหตุของโรคไมเกรนเกิดจากหลอดเลือดในสมองขยายตัว และสารเคมีในสมองหลั่งผิดปกติ

  1. หลอดเลือดที่ขมับอักเสบ 

อาการหลอดเลือดที่ขมับอักเสบ มักเกิดกับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นการปวดที่ขมับด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน โดยจะเกิดขึ้นแบบฉับพลันและสามารถสังเกตได้จากการกดที่ขมับ แล้วมีอาการเจ็บไปตามแนวหลอดเลือดบริเวณกราม

นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยก่อนที่จะมีอาการเจ็บปวดหัวข้างขวาจากสาเหตุนี้ เช่น ตาพร่ามัว มีไข้ และมีอาการอ่อนเพลีย

  1. ปวดแบบคลัสเตอร์ 

อาการปวดแบบคลัสเตอร์ (Cluster Headaches) เป็นอาการปวดหัวในช่วงเวลาเดิม เช่น ปวดช่วงเช้า หรือช่วงเย็นเป็นชุด ชุดละหลายครั้ง ระยะเวลาที่ปวดแต่ละครั้งจะประมาณ 1-3 ชั่วโมง และจะปวดนานติดต่อกันหลายสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือนก็ได้ และมักจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย ดังนี้

  • ปวดบริเวณขมับขวาหรือซ้าย
  • น้ำตาและน้ำมูกไหล
  • ลืมตาลำบาก
  • รู้สึกกระสับกระส่าย
  1. ปวดหัวฝั่งข้างขวาพร้อมกับมีน้ำตาไหล 

ปวดหัวฝั่งข้างขวาพร้อมกับมีน้ำตาไหล เป็นอาการปวดบริเวณขมับ หรือรอบๆ ดวงตาไม่นานมากจนถึง 10 นาที เกิดขึ้นบ่อยๆ ตั้งแต่จำนวน 20–100 ครั้งต่อวัน พร้อมๆ กับมีอาการน้ำตาไหล เป็นหวัด เปลือกตาบวม และหนังตาตก

มีคำถามเกี่ยวกับ ปวดหัวข้างขวา? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

วิธีแก้ บรรเทาอาการปวดหัวข้างขวาด้วยตนเอง

  • นวดเบาๆ เพื่อผ่อนคลายบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอหรือกดตรงขมับ จะช่วยให้อาการปวดทุเลาลงหรือผ่อนคลายได้
  • พักสายตา จากการใช้สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ ด้วยการมองไปไกลๆ กระพริบตาถี่ๆ หรือเปลี่ยนอิริยาบถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ สัปดาห์ละ 3–4 ครั้ง จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่างๆ รวมทั้งอาการปวดศีรษะข้างขวาก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอต่ออย่างเหมาะสม อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยป้องกันอาการปวดศีรษะอันเนื่องมาจากพักผ่อนน้อยได้
  • การใช้ยา หากเป็นอาการปวดเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาแก้ปวด หรือยาลดไข้ตามปกติได้ หรือหากเป็นเพราะโรคไมเกรน ก็ให้รับประทานยาแก้ไมเกรนตามอาการ หรือถ้าเป็นอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ ให้ใช้ยากลุ่มทริปเทนต์ (Triptan) ร่วมกับการสูดดมออกซิเจน ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวซีกข้างขวาได้เช่นกันแต่หากหลังรับประทานยาแล้วผู้ป่วยยังคงมีอาการต่อเนื่องหลายวัน และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ตาพร่ามัว ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด เดินเซ เกร็งชัก มีไข้ หนาวสั่น หมดสติ ผู้ป่วยจะต้องถูกรีบพาตัวไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องโดยเร็วที่สุด

การรักษาด้วยสมุนไพรหรือสารสกัดจากธรรมชาติต่างๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดหัวฝั่งข้างขวานั้น ควรได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรหรือแพทย์เกี่ยวกับผลดีผลเสีย รวมทั้งอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

ซึ่งเราไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับสุขภาพตามมาภายหลัง

สิ่งที่ไม่ควรละเลยเมื่อปวดหัวข้างขวา

สิ่งที่ผู้มีอาการปวดศีรษะเป็นประจำไม่ควรละเลยคือ ต้องหมั่นสังเกตตัวเองอย่างละเอียดว่าเมื่อมีอาการปวดขึ้น แล้วมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เพื่อเป็นข้อมูลให้แพทย์วินิจฉัยได้ว่าอาการปวดศีรษะนั้นมาจากสาเหตุใด และจะได้ทำการรักษาอย่างถูกต้อง

เพราะการปวดหัวข้างขวา อาจหมายถึงสัญญาณของโรคร้ายบางชนิด เช่น โรคหลอดเลือดตีบตัน หรือโรคมะเร็ง

ทั้งนี้ อย่าวิตกกังวลจนเกินไป เพราะอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นในหลายๆ ครั้งก็ไม่ได้เป็นอาการหรือสัญญาณที่ร้ายแรงขนาดนั้น มีวิธีแก้ไขอาการปวดได้หลายวิธี คุณสามารถดูปัจจัยดังต่อไปนี้ เพื่อตรวจเช็กว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อโรคร้ายหรือความผิดปกติที่เป็นอันตรายหรือไม่

  1. อาการปวดศีรษะที่ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่
  • อายุน้อยกว่า 30 ปี
  • มีประวัติการปวดศีรษะแบบเดียวกันมาก่อน
  • ตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติทางระบบประสาท
  • ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของแบบแผนการปวดศีรษะ หรือตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติใหม่
  • ไม่มีโรค หรือภาวะร่วมที่ถือว่าเป็นความเสี่ยง เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus: HIV)
  1. อาการปวดศีรษะที่ถือว่ามีความเสี่ยง ได้แก่
  • มีอาการของระบบอื่นร่วม เช่น มีไข้ ตาพร่ามัว น้ำหนักลด หรือหมดสติ
  • มีโรคอื่นร่วม เช่น การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือโรคมะเร็ง
  • มีอาการเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
  • อาการเกิดขึ้นหลังอายุ 40 ปี
  • มีการเปลี่ยนแปลงของแบบแผนการปวดศีรษะจากที่เคยเป็น

อาการปวดหัวข้างขวาเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสาเหตุที่ร้ายแรง และไม่ร้ายแรง หากเกิดอาการติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือมีอาการตาพร่ามัว น้ำหนักลด หรือหมดสติร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ วิธีรักษาจะไม่ซับซ้อนมาก หากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้อาการปวดหัวฝั่งข้างขวาร้ายแรงขึ้น รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดพัฒนาจนกลายเป็นโรคร้ายแรงได้ และอาจทำให้รักษาอาการปวดหัวข้างขวายากขึ้น


รวมแพ็กเกจตรวจและรักษาปวดหัวข้างขวา

รวมแพ็กเกจตรวจและรักษาปวดหัวข้างซ้าย

เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ


คำถามเกี่ยวกับอาการปวดหัว

มีคำถามเกี่ยวกับ ปวดหัวข้างขวา? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ