Default fallback image

ปวดคอ บ่า ไหล่ อย่ามองข้าม อาจเป็นมากกว่าออฟฟิศซินโดรม

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ เป็นอาการที่หลายคนเจอบ่อยๆ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในออฟฟิศ หรือมีพฤติกรรมการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หลายคนคิดว่าอาการเหล่านี้เป็นเพียงผลจากออฟฟิศซินโดรม แต่แท้จริงแล้ว อาการปวดเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรงกว่าที่คาดคิด หากละเลยอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ปวดคอ บ่า ไหล่ บอกโรคอะไรได้บ้าง

อาการปวดคอ บ่า ไหล่ สามารถบอกถึงความผิดปกติหรือโรคได้ ดังนี้

1. ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)

ออฟฟิศซินโดรม เป็นกลุ่มอาการที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน ซึ่งมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเกิดการตึงตัวและอักเสบเรื้อรัง

อาการที่เกี่ยวข้อง

  • ปวดตึงกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ อาการปวดตึงหรือปวดร้าวจากบริเวณคอ บ่า ไหล่ อาจลามไปถึงสะบักและหลัง รู้สึกเกร็งและมีอาการปวดเพิ่มขึ้นเมื่ออยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง เกิดจากความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่ ส่งผลให้เส้นประสาทถูกกดทับและกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะ โดยอาจรู้สึกปวดแบบหนักหัว หรือปวดแบบรัดรอบศีรษะ
  • รู้สึกชาหรืออ่อนแรงที่แขน หากเส้นประสาทบริเวณคอถูกกดทับ อาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนและมือ อาจรู้สึกเสียวซ่า หรือเหมือนมีเข็มทิ่มตามแขนและมือ
  • เวียนศีรษะและเหนื่อยล้า การไหลเวียนของเลือดที่ไม่ดีอาจส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะ ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าและหมดแรงง่าย

แนวทางการรักษา

  • ปรับท่านั่งและการทำงาน
    • ตั้งจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ระดับสายตา ห่างจากสายตาประมาณ 50-70 ซม.
    • นั่งตัวตรงโดยให้หลังชิดพนักเก้าอี้ และวางเท้าราบกับพื้น
    • ใช้เก้าอี้ที่รองรับกระดูกสันหลังส่วนเอวได้ดี
    • ปรับระดับโต๊ะทำงานให้เหมาะสมกับความสูงของผู้ใช้งาน
  • ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
    • ฝึกยืดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ เช่น ยืดแขนเหนือศีรษะ
    • บริหารกล้ามเนื้อด้วยการทำท่าโยคะหรือพิลาทิสที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น
    • ทำท่า Shoulder Roll (หมุนไหล่) และ Neck Stretch (ยืดคอ) เป็นประจำทุกวัน
  • การนวดและกายภาพบำบัด
    • การนวดช่วยคลายกล้ามเนื้อและลดการตึงเครียด
    • กายภาพบำบัดโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ การประคบร้อน-เย็น
    • การฝึกยืดกล้ามเนื้อและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบคอและไหล่

2. ภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม (Cervical Spondylosis)

ภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลัง หมอนรองกระดูก และข้อต่อในบริเวณคอ ซึ่งมักเกิดจากกระบวนการเสื่อมตามธรรมชาติของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น

นอกจากนี้ การใช้งานกระดูกสันหลังอย่างหนัก หรือการอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสมในระยะยาว เช่น การนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ การก้มคอเล่นโทรศัพท์ หรือการยกของหนัก ก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้

อาการที่เกี่ยวข้อง

  • ปวดคอเรื้อรัง อาการปวดคอที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง หรือเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะเมื่อขยับคอหรืออยู่ในท่าหนึ่งนานๆ
  • มีเสียงกรอบแกรบขณะเคลื่อนไหวคอ เสียงดังคล้ายกระดูกลั่น หรือมีเสียงกรอบแกรบ เมื่อหมุนหรือเคลื่อนไหวคอ อาจเกิดจากการเสียดสีของข้อต่อหรือหมอนรองกระดูกที่เสื่อมสภาพ
  • ปวดร้าวลงแขนหรือขา หากหมอนรองกระดูกหรือกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท อาจทำให้เกิดอาการปวดที่ลามจากคอลงไปยังแขนหรือขา
  • ชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง การกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลังอาจทำให้มีอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือสูญเสียการควบคุมการเคลื่อนไหวในบริเวณที่เส้นประสาทควบคุม

แนวทางการรักษา

  • การทำกายภาพบำบัด
    • ใช้เทคนิคยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching) และกายบริหาร เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกระดูกสันหลัง
    • ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น การประคบร้อน-เย็น การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ หรือการกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า (Electrical Stimulation) เพื่อลดการอักเสบและคลายกล้ามเนื้อ
  • การใช้ยา
    • ยาลดอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ นาโปรเซน (Naproxen) เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
    • ยาคลายกล้ามเนื้อ (Muscle Relaxants) ช่วยลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ
    • กรณีที่ปวดรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะจุด เพื่อบรรเทาอาการ
  • การปรับพฤติกรรม
    • หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น การก้มคอ หรือยกของหนัก
    • ปรับโต๊ะ เก้าอี้ และหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับที่คอ
  • การผ่าตัด (ในกรณีที่รุนแรง) 
    • การผ่าตัดหมอนรองกระดูก (Discectomy) เอาหมอนรองกระดูกส่วนที่กดทับเส้นประสาทออก
    • การเชื่อมกระดูก (Spinal Fusion) เชื่อมกระดูกในบริเวณที่เสื่อม
    • การผ่าตัดขยายช่องเส้นประสาท (Foraminotomy) ขยายช่องทางเดินของเส้นประสาท เพื่อลดการกดทับ

3. โรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกคอ (Cervical Disc Disorders)

โรคเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกคอเป็นกลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหมอนรองกระดูกบริเวณคอ ซึ่งทำหน้าที่รองรับแรงกระแทก และช่วยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนไหวได้อย่างเป็นปกติ เมื่อหมอนรองกระดูกเสื่อม อักเสบ หรือเคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิม อาจส่งผลให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดและความผิดปกติในการเคลื่อนไหว

อาการที่เกี่ยวข้อง

  • หมอนรองกระดูกคออักเสบ (Cervical Discitis) เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของหมอนรองกระดูก อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือการเสื่อมสภาพ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดคอรุนแรง โดยเฉพาะเวลาขยับคอ มีไข้ (หากเกิดจากการติดเชื้อ) กล้ามเนื้อตึงตัวและขยับคอได้ลำบาก
  • หมอนรองกระดูกคอเสื่อม (Cervical Disc Degeneration) เกิดจากการเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูกตามอายุ หรือการใช้งานหนักเป็นเวลานาน โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดตึงบริเวณคอและบ่า โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอนหรืออยู่ในท่าทางเดิมนานๆ ขยับคอแล้วมีเสียงกรอบแกรบ หากเสื่อมมาก อาจเกิดการกดทับเส้นประสาทและมีอาการปวดร้าวไปแขน
  • หมอนรองกระดูกคอทรุด (Cervical Disc Collapse) เป็นภาวะที่หมอนรองกระดูกสูญเสียความสูงและความยืดหยุ่น ทำให้ช่องว่างระหว่างกระดูกสันหลังแคบลง โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดคอเรื้อรัง เคลื่อนไหวคอได้ไม่เต็มที่ อาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงหากเส้นประสาทถูกกดทับ
  • หมอนรองกระดูกคอปลิ้น (Cervical Herniated Disc) เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนที่ไปกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดและชา โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดคอรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อขยับคอหรือเงยหน้า ปวดร้าวลงไปที่แขนและมือ กล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีอาการชา ในบางกรณีอาจมีอาการเวียนศีรษะและเสียการทรงตัว

แนวทางการรักษา

  • การใช้ยา
    • ยาแก้ปวดและยาลดการอักเสบ (NSAIDs)
    • ยาคลายกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ
    • ยาปฏิชีวนะ (ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อ)
  • การทำกายภาพบำบัด
    • เน้นการยืดกล้ามเนื้อและปรับสรีระ เพื่อบรรเทาอาการปวดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอและไหล่
    • การใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อลดอาการอักเสบ
  • การผ่าตัด ในกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทอย่างรุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาแบบไม่ผ่าตัด โดยวิธีผ่าตัดที่ใช้ ได้แก่
    • การผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกที่ปลิ้นออก (Discectomy)
    • การผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูก
    • การผ่าตัดเชื่อมกระดูก (Spinal Fusion) เพื่อเพิ่มความมั่นคงของกระดูกสันหลัง

4. การติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง (Spinal Infection)

การติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง เป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่หากเกิดขึ้นอาจมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและการเคลื่อนไหว

สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น Staphylococcus aureus หรือเชื้อวัณโรคที่แพร่กระจายผ่านกระแสเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดกระดูกสันหลัง หรือในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดความเสียหายถาวรต่อกระดูกสันหลัง เส้นประสาท หรือแม้กระทั่งนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ได้

ประเภทของการติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง ได้แก่

  1. Osteomyelitis การติดเชื้อที่ตัวกระดูกสันหลัง
  2. Discitis การติดเชื้อที่หมอนรองกระดูก
  3. Spinal Epidural Abscess การเกิดหนอง หรือติดเชื้อที่โพรงเยื่อหุ้มไขสันหลัง

อาการที่เกี่ยวข้อง

  • ปวดคอหรือหลังเรื้อรัง โดยอาการไม่ดีขึ้น แม้จะพักผ่อน หรือใช้ยาแก้ปวด
  • มีไข้ หนาวสั่น โดยเฉพาะหากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า รู้สึกไม่สบายตัว
  • น้ำหนักลด โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • อาการทางระบบประสาท เช่น ชา อ่อนแรง หรือปวดร้าวไปที่แขนและขา หากมีการกดทับเส้นประสาท

แนวทางการรักษา

  • การรักษาด้วยยา
    • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ใช้รักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยอาจต้องให้ยาทางหลอดเลือดดำ (IV) เป็นเวลาหลายสัปดาห์
    • ยาต้านวัณโรค (Anti-TB Drugs) หากพบว่าการติดเชื้อเกิดจากวัณโรค
    • ยาต้านเชื้อรา (Antifungal Drugs) สำหรับผู้ที่ติดเชื้อราที่กระดูกสันหลัง
  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยลดอาการปวดและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อหลังการติดเชื้อ
  • การผ่าตัด
    • ในกรณีที่รุนแรง เช่น มีหนอง หรือการกดทับเส้นประสาท อาจต้องผ่าตัด เพื่อเอาหนองออก หรือเชื่อมกระดูกสันหลังที่ติดเชื้อ
    • การผ่าตัดจะช่วยลดแรงกดทับเส้นประสาทและป้องกันการทำลายของไขสันหลัง

5. อาการปวดจากโรคหัวใจ

บางครั้งอาการปวดคอ บ่า ไหล่ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาหัวใจ โดยเฉพาะในกรณีของโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease) ซึ่งเกิดจากการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ โดยมักทำให้เกิดอาการปวดร้าวจากหน้าอกไปยังแขน คอ หรือบ่า นอกจากนี้ อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่

อาการที่เกี่ยวข้อง

  • ปวดแน่นหน้าอก อาจรู้สึกเหมือนมีของหนักกดทับที่หน้าอก หรือปวดแน่นจนหายใจไม่สะดวก
  • หายใจลำบาก รู้สึกหายใจไม่คล่อง ซึ่งเกิดจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ
  • เหงื่อออกมากโดยไม่มีสาเหตุ อาการนี้มักเกิดขึ้นในระหว่างที่มีอาการเจ็บหน้าอกหรือความเครียดจากการทำงานหนักของหัวใจ
  • ปวดร้าวไปที่คอ ขากรรไกร และแขนซ้าย อาการปวดอาจลามไปยังส่วนอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคหัวใจ

แนวทางการรักษา

  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อตรวจสอบการทำงานของหัวใจ และดูว่าเกิดการขาดเลือดที่หัวใจหรือไม่
  • ใช้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolytics) เพื่อละลายลิ่มเลือดที่ไปขวางการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดหัวใจ
  • การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจ (Balloon Angioplasty) ใช้สายสวนเพื่อขยายหลอดเลือดที่ตีบตันให้กว้างขึ้น ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังหัวใจได้ดีขึ้น
  • การผ่าตัดบายพาสหัวใจ (Coronary Artery Bypass Surgery) สำหรับผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตันหลายจุด การผ่าตัดบายพาสจะช่วยสร้างทางเดินใหม่ให้เลือดไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้

การใส่ใจสุขภาพคอ บ่า ไหล่ และหมั่นตรวจเช็กร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรงได้ ดังนั้น หากมีอาการปวดเรื้อรังที่ไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม

ปวดคอ บ่า ไหล่ ไม่ยอมหาย อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top