จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นนิ่วในไต สังเกตอาการอะไรก่อนได้บ้าง เป็นแล้วห้ามกิน หรือต้องกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ มีอะไรช่วยสลายนิ่วในไตได้หรือเปล่า เป็นแล้วต้องผ่าตัดไหม บทความนี้มีคำตอบ
สารบัญ
1. จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นนิ่วในไต?
ตอบ: ในเบื้องต้นเราสามารถสังเกตอาการบ่งชี้ ที่อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในไตด้วยตนเอง โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- คลื่นไส้อาเจียน
- มีไข้ หนาวสั่น
- ปัสสาวะมีสีขุ่น
- ปัสสาวะมีเลือดปน
- ปัสสาวะแล้วเจ็บ หรือรู้สึกแสบขัดระหว่างปัสสาวะ
- ปวดหลัง ปวดช่องท้อง หรือปวดเอวเป็นพักๆ
หากพบอาการเหล่านี้ แนะนำให้ตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยกระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคนิ่วในไตจะประกอบไปด้วยรายการตรวจหลักๆ ได้แก่
- การตรวจเลือด เพื่อหาปริมาณสารแคลเซียมหรือกรดยูริกในเลือด
- การตรวจปัสสาวะ เพื่อหาจำนวนเม็ดเลือดแดง
- การตรวจเอกซเรย์ช่องท้อง
- การตรวจอัลตราซาวด์ไต
- การตรวจเอกซรเย์คอมพิวเตอร์ หรือการทำ CT Scan
- การถ่ายภาพไตด้วยการฉีดสารทึบรังสี
2. เป็นนิ่วในไต จะปวดหลังตรงส่วนไหน?
ตอบ: หากเกิดก้อนนิ่วในไต ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลังตรงส่วนล่างเหนือบั้นเอว ซึ่งเป็นตำแหน่งของไต นอกจากนี้ยังมักมีอาการปวดท้อง หรือปวดเอวร่วมด้วย
3. เป็นโรคนิ่วในไต ไม่รักษาได้ไหม?
ตอบ: โรคนิ่วในไตแม้จะมีเพียงเม็ดนิ่วชิ้นเล็กๆ ก็ต้องรีบรักษา เนื่องจากโรคนิ่วในไตที่เรื้อรัง สามารถนำไปสู่การเกิดภาวะไตเสื่อมหรือภาวะไตวายได้
นอกจากนี้ยังเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากก้อนนิ่วในไตที่ไม่ได้นำออกไปสามารถอุดตันทางเดินปัสสาวะจนเกิดการติดเชื้อ และลุกลามเข้าไปในกระแสเลือดด้วย
4. เป็นนิ่วในไต จำเป็นต้องผ่าตัดไหม?
ตอบ: ไม่จำเป็นเสมอไป ในผู้ป่วยที่เม็ดนิ่วมีขนาดเล็กยังสามารถใช้วิธีรักษาที่ไม่ใช่วิธีผ่าตัดได้ เช่น
- การกินน้ำเพื่อให้เศษเม็ดนิ่วไหลออกมาพร้อมกับปัสสาวะ
- การกินยาเพื่อให้เม็ดนิ่วหลุดออกมาได้ง่ายขึ้น
- การใช้คลื่นกระแทก (Shockwave) สลายก้อนนิ่วให้แตกเป็นชิ้นเล็ก และขับออกผ่านทางปัสสาวะ
หรือหากผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดในการรักษา ปัจจุบันการผ่าตัดนำก้อนนิ่วออกจากไตยังได้พัฒนาเป็นเทคนิคผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีแผลเล็ก เจ็บแผลน้อย และฟื้นตัวเร็วด้วย โดยแบ่งออกได้ 2 เทคนิคผ่าตัด ได้แก่
- วิธีส่องกล้องคล้องนิ่วในไตผ่านผิวหนัง (Percutaneous Nephrolithotomy: PCNL) เป็นการเจาะรูแผลขนาด 1 เซนติเมตร 1 รู ที่หลังผู้ป่วย และสอดกล้องผ่าตัดกับอุปกรณ์ผ่าตัดเข้าไปในเนื้อไตเพื่อคล้องนำก้อนนิ่วออกมา หากก้อนนิ่วมีขนาดใหญ่ แพทย์ก็จะใช้อุปกรณ์สลายก้อนนิ่วให้มีขนาดเล็กลงก่อน จากนั้นจึงค่อยคล้องนำก้อนนิ่วออกมา
- วิธีส่องกล้องสลายนิ่วผ่านท่อไตผ่านท่อปัสสาวะ (Flexible Ureterorenoscopy) เป็นการสอดกล้องผ่าตัดผ่านทางท่อปัสสาวะเข้าไปยังท่อไต จากนั้นปล่อยพลังงานเลเซอร์เพื่อลดขนาดก้อนนิ่ว หรือทำให้ก้อนนิ่วแตกเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำเศษนิ่วทั้งหมดออกจากร่างกาย หลังการรักษาผู้ป่วยสามารถเดินทางกลับบ้านได้เลย ไม่ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลแต่อย่างใด
5. เป็นนิ่วในไต กินอะไรช่วยสลายนิ่วได้?
ตอบ: การดื่มน้ำให้มากๆ สามารถช่วยกำจัดก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 5 มิลลิเมตร ให้ไหลออกมาพร้อมปัสสาวะได้ แต่ในส่วนของก้อนนิ่วที่มีขนาดใหญ่กว่านั้น จำเป็นต้องอาศัยวิธีรักษาทางการแพทย์ในการสลายก้อนนิ่วออกจากร่างกายเท่านั้น การกินอาหารทั่วไปไม่สามารถทำให้ก้อนนิ่วที่ตกตะกอนอยู่ในไตแล้วสลายตัวหรือเล็กลงได้
6. เป็นนิ่วในไต ห้ามกินอะไร?
ตอบ: รายการอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคนิ่วในไต ได้แก่
- การกินอาหารที่เป็นเมนูเดิมๆ ซ้ำๆ ผู้ป่วยควรกินอาหารให้หลากหลายและครบ 5 หมู่
- อาหารรสเค็ม
- อาหารหมักดอง
- อาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด เนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อแดง กะปิ ปลาซาดีน
- อาหารที่มีออกซาเลตสูง เช่น เครื่องดื่มประเภทช็อกโกแลต โกโก้ ชา ผักโขม หน่อไม้ ตำลึง มะเขือเทศ มันสำปะหลัง ผักคะน้า ผักแขนง พริกไทย แครนเบอร์รี อัลมอนด์ ส้ม องุ่น
7. เป็นโรคนิ่วในไต เป็นซ้ำได้ไหม?
ตอบ: สามารถเป็นซ้ำได้อีก โดยเฉพาะหากผู้ป่วยไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลังการรักษาโรคนิ่วในไต เช่น
- กลั้นปัสสาวะบ่อย
- ดื่มน้ำน้อย
- กินอาหารรสเค็มจัด หวานจัด หรืออาหารหมักดองบ่อยๆ
- กินอาหารที่มีสารอาหารกระตุ้นทำให้เกิดก้อนนิ่วมากเกินไป เช่น อาหารที่มีแคลเซียมสูง อาหารที่มีโปรตีนสูง อาหารที่มีไซเดียมสูง
- กินวิตามินเสริมบางชนิดในปริมาณมากเกินไป เช่น วิตามินซี
- ไม่ออกกำลังกาย
8. กินกาแฟ ทำให้เป็นนิ่วไหม?
ตอบ: การดื่มกาแฟไม่ได้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ควรดื่มกาแฟในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น เนื่องจากการรับปริมาณคาเฟอีนมากเกินความจำเป็นก็สามารถก่อให้เกิดโรคหรือความผิดปกติตามมาได้ เช่น โรคนอนไม่หลับ โรคกรดไหลย้อน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
โรคนิ่วในไตเป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงานช่วงอายุ 30-40 ปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหลักมาจากพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมาะสม และมักเกิดได้จากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบเกินไป เช่น กลั้นปัสสาวะ ดื่มน้ำน้อย กินอาหารเมนูเดิมๆ หรือมีปริมาณสารอาหารที่ไม่เหมาะสม ไม่ออกกำลังกาย
เพื่อลดโอกาสเกิดโรคนี้ จึงควรหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพและให้ความสำคัญกับการปัสสาวะ อย่ากลั้นบ่อยๆ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่เสมอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
หรือหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ปวดหลัง ปัสสาวะผิดปกติ และไม่แน่ใจว่าเป็นนิ่วในไตหรือไม่ แนะนำให้พบแพทย์แต่เนิ่นๆ เพราะยิ่งก้อนนิ่วยังมีขนาดเล็กมากเท่าไร ทางเลือกในการรักษาก็ง่ายและสะดวกมากขึ้น และมีโอกาสหายได้เร็วขึ้นด้วย
ยังมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับโรคนิ่วในไต หรือรู้สึกว่ามีอาการ แต่ไม่รู้จะถามใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคนิ่วในไต จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย