ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในระดับรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน มาทำความรู้จักกับช็อกโกแลตซีสต์ ภัยเงียบของผู้หญิงได้ ในบทความนี้
สารบัญ
- 1. ช็อกโกแลตซีสต์คืออะไร?
- 2. อาการของช็อกโกแลตซีสต์เป็นอย่างไร?
- 3. ช็อกโกแลตซีสต์อันตรายหรือไม่?
- 4. ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแล้วหายเองได้ไหม?
- 5. ช็อกโกแลตซีสต์ขนาดเท่าไหร่ถึงต้องผ่าตัด?
- 6. ช็อกโกแลตซีสต์มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งหรือไม่?
- 7. การตรวจช็อกโกแลตซีสต์มีวิธีไหนบ้าง
- 8.ช็อกโกแลตซีสต์มีวิธีการรักษาอย่างไร?
- 9. เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ห้ามกินอะไร
- 10. เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ควรกินอะไร?
- 11. ช็อกโกแลตซีสต์ ซีสต์ทั่วไป และเนื้องอก แตกต่างกันอย่างไร?
- 12. ช็อกโกแลตซีสต์ มีลูกได้ไหม
1. ช็อกโกแลตซีสต์คืออะไร?
ตอบ: ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) คือภาวะที่เกิดถุงน้ำในรังไข่ โดยภายในถุงน้ำชนิดนี้บรรจุของเหลวสีน้ำตาลเข้มคล้ายช็อกโกแลต ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือนที่ไหลไปสะสมในถุงน้ำ เป็นผลมาจากการเกิดเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ไป โดยไปเจริญที่รังไข่ (Endometriosis)
ทั้งนี้ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยกำลังมีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในระดับรุนแรง และต้องเข้ารับการรักษา
2. อาการของช็อกโกแลตซีสต์เป็นอย่างไร?
ตอบ: เมื่อเกิดช็อกโกแลตซีสต์บริเวณรังไข่ จะส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือน ประจำเดือนมามาก และปวดประจำเดือนรุนแรง
นอกจากนี้ยังอาจมีความรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็บางรายก็อาจไม่มีอาการใดๆ แสดงเลยจนกว่าขนาดของซีสต์จะใหญ่จนส่งผลกระทบกับรังไข่
อย่างไรก็ตามหากปล่อยไว้โดยไม่ได้ทำการรักษา อาการจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น จนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้
และหากถุงน้ำแตก หรือรั่ว ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องแบบเฉียบพลัน มีไข้สูง ร่วมกับอาการอาเจียน ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยทันที เนื่องจากเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่อาจอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
3. ช็อกโกแลตซีสต์อันตรายหรือไม่?
ตอบ: อาการของช็อกโกแลตซีสต์จะเริ่มมีความอันตราย และเสี่ยงกับภาวะแทรกซ้อน เมื่อขนาดของซีสต์ใหญ่ขึ้น โดยซีสต์ที่เกิดขึ้นบริเวณรังไข่ จะไปกดทับทำให้รังไข่อักเสบเรื้อรัง และเกิดพังผืดขึ้นภายในอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะบริเวณรังไข่ และท่อนำไข่ จนทำให้ไข่ไม่ตก หรือไข่มีสภาพไม่สมบูรณ์ รวมถึงไม่สามารถเคลื่อนตัวลงไปปฏิสนธิภายในมดลูกได้ กลายเป็นภาวะมีบุตรยากในที่สุด
นอกจากนี้หากขนาดของซีสต์ใหญ่มากขึ้น ก็จะเสี่ยงต่อการแตก หรือบิดขั้ว ทำให้ปวดท้องเรื้อรังและรุนแรงได้
4. ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแล้วหายเองได้ไหม?
ตอบ: ภาวะช็อกโกแลตซีสต์ เป็นภาวะที่ไม่สามารถหาย ฝ่อ หรือยุบตัวเองได้ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ ด้วยการใช้ยาหรือการผ่าตัดขึ้นอยู่กับขนาดและอาการ
5. ช็อกโกแลตซีสต์ขนาดเท่าไหร่ถึงต้องผ่าตัด?
ตอบ: การพิจารณาเรื่องการผ่าตัดนำช็อกโกแลตซีสต์ออกจากบริเวณรังไข่ ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย โดยปัจจัยหลักคือ ขนาด หากขนาดของซีสต์ใหญ่มากกว่า 3-4 เซนติเมตร มักได้รับการพิจารณาให้ผ่าตัด แต่ทั้งนี้ก็ต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการปวด อายุของผู้ป่วย ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการมีบุตรในอนาคต
แต่ถ้าหากขนาดของซีสต์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน หรือขนาดใหญ่เกิน 5 เซนติเมตรขึ้นไป ก็จะยิ่งมีความเสี่ยงที่จะแตกหรือบิด แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการผ่าตัดโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
6. ช็อกโกแลตซีสต์มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งหรือไม่?
ตอบ: ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นเพียงภาวะที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ดังนั้นโอกาสที่จะกลายเป็นโรคมะเร็งค่อนข้างต่ำมาก โดยอาจน้อยกว่า 1%
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำการรักษาช็อกโกแลตซีสต์แล้ว ก็ยังควรพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพราะมีโอกาสที่ช็อกโกแลตซีสต์จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
7. การตรวจช็อกโกแลตซีสต์มีวิธีไหนบ้าง
ตอบ: ปัจจุบันการตรวจคัดกรองช็อกโกแลตซีสต์ มีทั้งหมด 4 วิธีหลักๆ ได้แก่ การตรวจภายใน การตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจเลือด และการตรวจ MRI
ทั้งนี้การตรวจ MRI แพทย์จะใช้ในกรณีที่ต้องการเห็นภาพให้ชัดเจนมากขึ้น จึงมักจะเป็นวิธีที่เสริมจากการตรวจวิธีอื่นๆ เพื่อยืนยันอาการของภาวะช็อกโกแลตซีสต์
8.ช็อกโกแลตซีสต์มีวิธีการรักษาอย่างไร?
ตอบ: การรักษาภาวะช็อกโกแลตซีสต์มีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย
หากขนาดซีสต์ไม่ใหญ่มาก และแพทย์แระเมินแล้วว่ายังไม่จำเป็นต้องผ่าตัด แพทย์จะให้รักษาแบบประคับประคอง หากมีอาการปวดท้องน้อย แพทย์จะสั่งยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการ
นอกจากนี้อาจมีการใช้ยาคุมกำเนิด และยาฮอร์โมนร่วมด้วย เนื่องจากยาทั้งสองชนิดสามารถช่วยให้ซีสต์ยุบตัวลงได้ แต่อาจไม่สามารถทำให้หายไปได้
อย่างไรก็ตามหากอาการปวดรุนแรง จนยาแก้ปวดไม่สามารถช่วยได้แล้ว หรือแพทย์ประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยงที่ซีสต์จะแตก หรือบิดขั้ว แพทย์จะพิจารณาให้ผ่าตัดนำซีสต์ออก
ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัด 2 วิธีหลักๆ ได้แก่ การผ่าตัดส่องกล้อง และการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง แต่การผ่าตัดส่องกล้องจะได้รับความนิยมมากกว่า เพราะเป็นการรักษาที่แผลเล็ก และฟื้นตัวได้ไว
9. เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ห้ามกินอะไร
ตอบ: ผู้ที่มีภาวะช็อกโกแลตซีสต์ ควรระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหารบางประเภท โดยเฉพาะอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง เช่น ถั่วเหลือง เต้าหู้
เนื่องจากบางงานวิจัยระบุว่า ฮอร์โมนเอสโตรเจนอาจมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการเกิดช็อกโกแลตซีสต์ ฉะนั้นการหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการรับประทานอาหารที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง จึงอาจช่วยลดความเสี่ยงที่อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นได้
นอกจากนี้ควรเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาหารแปรรูป สมุนไพร และอาหารเสริมต่างๆ เพราะสารบางอย่างอาจส่งผลกระทบต่อตัวโรคได้ หากจำเป็นต้องรับประทานควรปรึกษาแพทย์เพื่อความปลอดภัย
10. เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ควรกินอะไร?
ตอบ: สำหรับผู้ที่เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ไม่ได้มีอาหารที่ระบุว่าควรรับประทานเป็นพิเศษ แต่แพทย์มักแนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นในกลุ่มผักและผลไม้สด ซึ่งอาหารเหล่านี้จะก่อให้เกิดการอักเสบน้อยกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์ และควรรับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ไขมันโอเมก้า 3 และอาหารที่มีวิตามินดีสูง
11. ช็อกโกแลตซีสต์ ซีสต์ทั่วไป และเนื้องอก แตกต่างกันอย่างไร?
ตอบ: ช็อกโกแลตซีสต์ ซีสต์ทั่วไป และเนื้องอก มีความแตกต่างกันดังนี้
12. ช็อกโกแลตซีสต์ มีลูกได้ไหม
ตอบ: ช็อกโกแลตซีสต์เป็นภาวะที่ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์โดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้มีบุตรยากได้ แต่การรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะมีบุตรยากลงได้
ทั้งนี้ผู้หญิงที่มีภาวะช็อกโกแลตซีสต์ หรือเคยมีภาวะดังกล่าวหากต้องการมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนวางแผนตั้งครรภ์
ช็อกโกแลตซีสต์เป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว และความสามารถในการมีบุตรได้
การตรวจพบและรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการรักษา หากคุณมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง ประจำเดือนผิดปกติ อย่าปล่อยเอาไว้ ติดต่อ HDCare นัดคิวปรึกษาคุณหมอเฉพาะทาง หรือหาแพ็กเกจตรวจช็อกโกแลตซีสต์ที่ตรงใจคุณ คลิกที่นี่