หลายคนน่าจะเคยประสบปัญหาเป็นโรคตากุ้งยิงกันมาก่อน หรืออาจได้ยินในรูปแบบของการแซวว่า ไปแอบดูใครอาบน้ำแล้วจะเป็นตากุ้งยิง ซึ่งความจริงแล้วตากุ้งยิงไม่ได้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงคำพูดติดตลกที่พูดติดปากกันมาจนมีหลายคนเข้าใจผิดเท่านั้น
เพราะความจริงแล้ว โรคตากุ้งยิงก็เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งซึ่งมีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ดังนั้น วันนี้เรามาทำความรู้จักกันว่า โรคตากุ้งยิงคืออะไรกันแน่
สารบัญ
ความหมายของโรคตากุ้งยิง
โรคตากุ้งยิง (Stye หรือ Hordeolum) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง หรืออาจจะเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณใต้เปลือกตา ไม่ได้เกิดจากการแอบดูหรือการถ้ำมองดังที่เป็นคำกล่าวอ้างแต่อย่างใด ส่วนบริเวณของดวงตาที่มักจะเกิดโรคตากุ้งยิงขึ้นคือ เปลือกตาด้านบนและเปลือกตาด้านล่าง
การเกิดโรคตากุ้งยิงนั้นสามารถพบได้ในผู้คนทุกเพศ ทุกวัย โดยผู้ป่วยจะมีอาการบวมแดง รู้สึกร้อน หรือปวดบริเวณเปลือกตา หรืออาจเกิดเป็นตุ่มและถุงหนองได้ด้วย แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อสายตาแต่อย่างใด และสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาหยอดตา หรือการป้ายขี้ผึ้งใต้ตา รวมถึงการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตากุ้งยิง
โรคตากุ้งยิงเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ใช่เพียงการอุดตันหรือการติดเชื้อเท่านั้น ซึ่งสามารถแจกแจงได้เป็นข้อต่อไปนี้
- เกิดมาจากแบคทีเรียที่เป็นเชื้อหนองชื่อว่า “สแตฟิโลค็อคคัส ออเรียส” (Staphylococcus aureus)
- เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณโคนขนตา แล้วทำให้มีเชื้อโรคแทรกซ้อนเข้าไป ซึ่งสาเหตุนี้มีต้นเหตุมาจากภูมิต้านทานของร่างกายลดน้อยลง อันเนื่องมาจาก
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- รับประทานอาหารไม่เป็นเวลา
- ออกกำลังกายน้อย
- ใช้สายตามาก หรือผู้ที่มีสายตาผิดปกติแล้วไม่ได้รับการแก้ไข เช่น สายตายาว สายตาสั้น สายตาเอียง สายตาเข
- เกิดจากการขยี้ตาบ่อยจนเกินไป ทำให้เปลือกตาไม่สะอาดจนเกิดการติดเชื้อ
- เกิดจากการใช้เครื่องสำอางแล้วล้างออกไม่หมด หรือล้างไม่สะอาด ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคบนผิวหน้า
- เกิดจากการใส่หรือถอดคอนแทกเลนส์ด้วยมือที่ไม่สะอาด
- มีสิ่งแปลกปลอมจากมลภาวะด้านนอกเข้ามาทำให้เกิดการอุดตัน เช่น ฝุ่นละออง ฝุ่นควัน
- มีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคต่างๆ ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดต่ำลง โดยสาเหตุนี้จะพบมากในผู้ป่วยสูงอายุ
โรคตากุ้งอาจไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้ยาเสมอไป เพราะผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคตากุ้งยิงแล้วมีหนองบริเวณเปลือกตา ก็สามารถหายได้เองเช่นกัน หรือหนองอาจแตกออกเอง แต่ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยก็ควรระวังเพราะในบางกรณี หนองบริเวณดวงตาอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นจนรบกวนการมองเห็น และทำให้การดำเนินชีวิตยากลำบากมากขึ้น
ชนิดของโรคตากุ้งยิง
โรคตากุ้งยิงสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
- ตากุ้งยิงชนิดหัวผุด หรือ ตากุ้งยิงภายนอก (External hordeolum) ตากุ้งยิงชนิดนี้เป็นการอักเสบของต่อมไขมันบริเวณผิวหนังตรงโคนขนตา มีลักษณะเป็นตุ่มหนองผุดให้เห็นได้อย่างชัดเจนบริเวณขอบตา ทั้งยังมีลักษณะเป็นสีเหลือง ตรงกลางรอบๆ นูนแดง เวลากดจะรู้สึกเจ็บ
- ตากุ้งยิงชนิดหัวหลบใน หรือ ตากุ้งยิงภายใน (Internal hordeolum) เป็นการอักเสบของต่อมไขมันบริเวณเยื่อบุเปลือกตาในส่วนของเนื้อเยื่อสีชมพูที่อยู่ลึกจากขอบตาเข้าไป ผู้ป่วยจะต้องปลิ้นเปลือกตาออกมา หรือใช้นิ้วคลำจึงจะเห็นตุ่มหนอง เพราะตุ่มหนองของตากุ้งยิงชนิดนี้จะหลบซ่อนอยู่ด้านในของเปลือกตา โดยมีลักษณะเป็นตุ่มหนองสีเหลืองและจะรู้สึกเจ็บเมื่อใช้นิ้วสัมผัสนอกจากนี้ ตากุ้งยิงชนิดหัวหลบในยังสามารถเกิดขึ้นได้จากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณเยื่อบุเปลือกตาด้วย โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน ซึ่งมีสาเหตุมาจากรูเปิดเล็กๆ ของต่อมไขมันที่มีเนื่อเยื่อเข้าไปรวมตัวกันอยู่ภายในจนเกิดเป็นตุ่มขึ้นมาแต่อาการจากสาเหตุนี้จะไม่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัสโดน และเราสามารถเรียกได้อีกชื่อว่า “ตาเป็นซิสต์”
อาการของโรคตากุ้งยิง
ตากุ้งยิงเป็นโรคที่เกิดได้กับผู้คนทุกเพศ ทุกวัย โดยลำดับอาการตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีสัญญาณของโรคตากุ้งยิง จะเป็นดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเคืองตาหรือคันตาคล้ายมีผงอยู่ในตา ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นที่ส่งสัญญาณบอกว่า ผู้ป่วยอาจเป็นโรคตากุ้งยิง
- ผู้ป่วยจะรู้สึกคันตาอยู่ตลอดเวลา และจะคันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกอยากขยี้ตาอยู่เสมอ
- เมื่ออาการเริ่มต้นไปได้ 1-2 วัน เปลือกตาของผู้ป่วยจะเริ่มเป็นตุ่มนูนบวมแดง และพัฒนาเป็นตุ่มหนองซึ่งอาจเกิดได้ทั้งเปลือกตาบนหรือเปลือกตาล่าง และอาจมีตุ่มหนองโผล่ออกมาหรืออาจซ่อนอยู่ข้างในเปลือกตาก็ได้
- ผู้ป่วยอาจมีน้ำตาไหลร่วมด้วย และเกิดการระคายเคืองมากจนมองภาพไม่ถนัด
- ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตารุนแรงมากขึ้น เมื่อแตะบริเวณตุ่มก็จะรู้สึกเจ็บ การก้มศีรษะต่ำกว่าระดับเอวก็สามารถทำให้มีอาการปวดมากขึ้นได้ด้วย
- เมื่อผ่านไป 3-4 วัน ตุ่มหนองจะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีโอกาสที่หนองจะแตกได้ ซึ่งเมื่อหนองแตก ผลข้างเคียงอาจทำให้ขี้ตาของผู้ป่วยเป็นสีเขียวได้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตากุ้งยิงยังมีอาการข้างเคียงอื่นๆ ปรากฎขึ้นได้ระหว่างเป็นโรคนี้ เช่น
- มีอาการปวดหนังตา โดยจะเกิดขึ้นเวลาที่กลอกตาหรือหลับตา
- มีอาการบวมที่เปลือกตา และสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นก้อนอยู่ที่เปลือกตา
- รู้สึกคันที่ตาเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา และแพ้แสงแดด
- เกิดอาการเปลือกตาบวมมากจนตาปิด หรือบางรายอาจร้ายแรงมากกว่านั้นคือ มีหนองไหลออกมาจากเปลือกตา
สำหรับผู้ป่วยที่รู้สึกระคายเคืองตามาก หรือกลัวว่าตุ่มหนองที่เปลือกตาจะแตกเองจนทำให้ส่งผลกระทบต่อดวงตา ให้ผู้ป่วยไปพบแพทย์ตั้งแต่วันแรกๆ ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคตากุ้งยิง ซึ่งโดยส่วนมาก โรคตากุ้งยิงมักจะมีตุ่มขึ้นเพียงตุ่มเดียว และไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา แต่จะทำให้เกิดความระคายเคือง สร้างความรำคาญต่อผู้ป่วยเพราะทำให้ใช้ชีวิตได้ไม่สะดวกนัก
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคตากุ้งยิง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคตากุ้งยิงอาจเกิดได้จากความผิดปกติของภูมิต้านทาน รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้ป่วยที่ไม่ได้รักษาความสะอาดดวงตาดีพอเมื่อเป็นโรคตากุ้งยิง โดยภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้คือ
- มีการอักเสบลุกลามไปทั่วเปลือกตา
- เบ้าตาติดเชื้อ
- ติดเชื้อในกระแสเลือด
ดังนั้น ทางที่ดีผู้ป่วยที่เป็นโรคตากุ้งยิงจึงไม่ควรปล่อยนิ่งเฉยจนเกิดภาวะแทรกซ้อน ควรมีการทำความสะอาดดวงตาอย่างถูกวิธี และควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที เพราะหากไม่รีบรักษา ผู้ป่วยอาจเกิดแผลที่บริเวณแก้วตา หรือเกิดความผิดปกติที่หนังตาตามมาได้
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที
- สายตาผิดปกติ
- อาการปวดแย่ลงหรือไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
- ก้อนตุ่มหนองมีขนาดใหญ่มากขึ้น
- พบตุ่มน้ำเกิดขึ้นที่เปลือกตา
- เปลือกตามีแผลตกสะเก็ด
- เปลือกตาแดง หรือตาแดงทั่วไปหมด
- มีอาการแพ้แสงแดด
- กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีกหลังจากรักษาจนหายดีแล้ว
- พบเลือดออกบริเวณก้อนที่เปลือกตา
การวินิจฉัยโรคตากุ้งยิง
แพทย์จะวินิจฉัยโรคตากุ้งยิงโดยอิงจากอาการต่อไปนี้
- ตรวจพบก้อนนูนที่บริเวณหนังตาหรือเปลือกตา
- มีอาการเจ็บก้อนนูนเวลาใช้นิ้วกด
- มีอาการตาแดง มีขี้ตาชัดเจน
- มีก้อนนูนเป็นไตแข็งๆ แต่ไม่รู้สึกเจ็บ ตาไม่แดง เพียงแต่จะสร้างความรำคาญ หรือความระคายเคืองเหมือนมีก้อนอะไรติดอยู่ในดวงตา
การรักษาโรคตากุ้งยิง
เมื่อคุณมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคตากุ้งยิง ให้รีบไปปรึกษาจักษุแพทย์โดยเร็ว เพราะในระยะเริ่มแรกนั้น อาการของโรคจะยังไม่เป็นโรคตากุ้งยิงในทันที แต่จะมีลักษณะเป็นเหมือนภาวะเปลือกตาอักเสบ วิธีบรรเทาอาการคือ ให้ใช้น้ำอุ่นประคบบริเวณดวงตา ซึ่งวิธีนี้ยังป้องกันไม่ให้เกิดการรวมตัวของเชื้อโรคจนเกิดเป็นตุ่มหนองได้ด้วย
การรักษาโรคตากุ้งยิงนั้นสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยา และยาจะต้องถูกสั่งโดยแพทย์เท่านั้น ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยามารักษาเอง ซึ่งโดยส่วนมาก ยาที่ใช้รักษาโรคตากุ้งยิงมักเป็นกลุ่มยาปฏิชีวนะแบบหยอดตา ป้ายตา
และในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจต้องสั่งยาปฏิชีวนะแบบรับประทานร่วมด้วย
แต่หากผู้ป่วยเป็นตุ่มหนองขึ้นมาจนยาอาจรักษาได้ไม่ดีพอ ก็อาจจำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตุ่มหนอง และขูดบริเวณเปลือกตาที่มีการติดเชื้อให้สะอาด เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ และสามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ในครั้งเดียว
1. การรักษาด้วยยาสำหรับรับประทาน
- อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ให้รับประทานขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร แต่ข้อควรระวังในการใช้ยาชนิดนี้คือ ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ และไม่ควรใช้ร่วมกับยาต่อไปนี้ เพราะจะทำให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น ปวดท้อง
- ทีโอฟิลลิน (Theophyllin)
- ไดจอกซิน (Digoxin)
- คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine)
- ไซโคลสปอรีน (Cyclosporine)
- วาฟารีน (Warfarine)
- โลวาสแตติน (Lovastatin)
- ซิมวาสแตติน (Simvastatin)
- ไดคลอกซาซิลลิน (Dicloxacillin) ให้รับประทานขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร
- เตตราไซคลีน (Tetracycline) ให้รับประทานขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง แต่มีข้อควรระวังคือ หากใช้ยานี้ร่วมกับยารักษาโรคกระเพาะอาหารหรือยาระบาย จะทำให้การดูดซึมของยานี้ลดลง และมีผลทำให้ระดับประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลงด้วย ซึ่งอาจเสี่ยงต่อจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ และห้ามใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์ด้วย
2. การรักษาด้วยยาป้ายตาและยาหยอดตา
- ขี้ผึ้งบาซิทราซิน (Bacitracin ophthalmic ointment) สำหรับผู้ป่วยรายที่มีอาการค่อนข้างมาก ให้ป้ายบริเวณแผลวันละ 4-6 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน ส่วนผู้ป่วยรายที่เป็นน้อย ให้ป้ายวันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
- ยาหยอดตาโทบรามัยซิน (Tobramycin ophthalmic solution) ให้หยอดตาทุกๆ 4 ชั่วโมงจนกว่าอาการจะดีขึ้น
3. การรักษาด้วยการผ่าตัดระบายหนอง
ขั้นตอนการผ่าตัดระบายหนองจะมีกระบวนการดังต่อไปนี้
- จักษุแพทย์จะทำความสะอาดบริเวณที่ต้องผ่าตัด
- จากนั้น จักษุแพทย์จะใช้ยาชาหยอดตา เช่น ยาหยอดโพรพาราเซน (proparacaine eye drop) แล้วจึงฉีดยาชาในปริมาณ 1-2% ในบริเวณที่จะลงมีด แต่ไม่ควรฉีดเข้าไปในตุ่มบริเวณเปลือกตาโดยตรง ซึ่งยาชาที่ใช้คือ ยาลิโดเคนร่วมกับอะดรีนาลีน (Lidocaine with Adrenarine)
- จักษุแพทย์แพทย์จะทำการลงมีดซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามตำแหน่งของตุ่มบริเวณเปลือกตา
- หากสามารถเห็นตุ่มชัดเจนทางด้านนอกของเปลือกตาในแนวนอน จักษุแพทย์จะลงมีดผ่านตำแหน่งของตากุ้งยิง
- หากสามารถมองเห็นตุ่มด้านในเปลือกตาได้ จักษุแพทย์จะลงมีดตั้งฉากในด้านเยื่อบุตาขาว ผ่านไปยังแผ่นหนังตา (Tarsal plate) ในเปลือกตาซึ่งมีต่อมไขมันมัยโบเมียน (Meibomain glands) อยู่ โดยให้มีความยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร หรือตามความเหมาะสมโดยประมาณ และให้ขนานตามทิศทางของต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาด้วยแต่ไม่ควรลงมีดผ่านไปถึงขอบเปลือกตา (lid margin) เนื่องจากเมื่อแผลหายแล้ว อาจทำให้ขอบเปลือกตาของผู้ป่วยผิดรูปไปจากเดิม
- ภายหลังจากการรักษา แพทย์มักจะปิดตาข้างที่ผ่าตัดไว้เพื่อไม่ให้เลือดออก และช่วยลดอาการบวมได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ ผู้ป่วยควรลดกิจกรรมที่เกี่ยวกับการใช้สายตา เช่น ไม่ควรขับรถเพราะอาจเกิดอุบัติเหตุได้ หากมีอาการปวดบริเวณที่ผ่าตัด ให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) ครั้งละ 1-2 เม็ด ทุกๆ 4 ชั่วโมงหรือเมื่อมีอาการ
ผลข้างเคียง
โรคตากุ้งยิงถือเป็นโรคที่นับว่าสามารถหายเองได้ หากมีการรักษาความสะอาดที่ดี ร่วมกับการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หรือการใช้ยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพียงเท่านี้อาการของผู้ป่วยก็จะหายได้ใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือมีเชื้อโรคเป็นจำนวนมาก และไม่มีการรักษาความสะอาดของใบหน้าและดวงตาอย่างเพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบที่ลุกลามได้ เช่น
- เกิดการอักเสบลุกลามไปทั่วหนังตา
- เกิดการติดเชื้อลึกเข้าไปถึงด้านในเบ้าตา
- เกิดการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
- โรคลุกลามเข้าไปถึงบริเวณด้านหลังของลูกตา และลามไปถึงสมอง ซึ่งหากผู้ป่วยปล่อยให้ตนเองมีอาการรุนแรงถึงระยะนี้ ก็อาจจำเป็นต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือด
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคตากุ้งยิง
- ประคบบริเวณดวงตาด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น วันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-20 นาที ทำติดต่อกัน 3-4 วัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการบวมและเจ็บ อีกทั้งวิธีการนี้จะช่วยทำให้รูของต่อมใต้เปลือกตาเปิด ทำให้ไม่เกิดการอุดตัน และผู้ป่วยควรหลับตาในเวลาที่ประคบด้วย
- หมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- งดใช้เครื่องสำอางชั่วคราว
- หลีกเลี่ยงการใส่คอนแทกเลนส์
- ไม่ควรบีบหนองที่เปลือกตาเอง เพราะอาจก่อให้เกิดอาการอักเสบมากขึ้นและเป็นอันตรายต่อดวงตา
การป้องกันโรคตากุ้งยิง
การป้องกันโรคตากุ้งยิงสามารถทำได้ง่ายมากๆ นั่นคือ การรักษาความสะอาดให้กับตัวตาของตนเอง ล้างมือให้สะอาดอยู่เป็นประจำ และไม่นำมือที่สกปรกไปขยี้ตา รวมทั้งรักษาความสะอาดของใบหน้าและเส้นผม ควรสระผมบ่อยๆ อย่าให้ผมแยงตาเพราะอาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย และหากเริ่มมีอาการคล้ายกับเป็นโรคตากุ้งยิง ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ