ปอดบวม (Pneumonia) คืออะไร? อาการ รักษา ป้องกัน ดูแล

ภาวะปอดบวม (Pneumonia) คือการบวมขึ้น (การอักเสบ) ของเนื้อเยื่อปอดทั้งสองข้างหรือข้างใดข้างหนึ่ง โดยมากมักจะเป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย

มีคำถามเกี่ยวกับ ปอดบวม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ตอนท้ายของท่อหายใจภายในปอดของคุณจะมีกระจุกถุงอากาศขนาดเล็กมากมาย หากคุณประสบกับภาวะปอดบวม ถุงจิ๋วเหล่านี้จะเกิดการอักเสบและบวมขึ้นเนื่องจากของเหลว

อาการของโรคปอดบวม

อาการของภาวะปอดบวมสามารถเกิดขึ้นอย่างกะทันหันภายใน 24 หรือ 48 ชั่วโมง หรืออาจจะ เกิดขึ้นมาอย่างช้าภายในระยะเวลาหลายวันก็ได้

อาการทั่วไปของโรคปอดบวมมีดังนี้

  • ไอ: อาจจะเป็นได้ทั้งไอแห้ง หรือไอแบบมีเสมหะสีเขียว เหลือง น้ำตาล หรือปนเลือดก็ได้
  • หายใจลำบาก: การหายใจของคุณจะกลายเป็นช่วงสั้นและเร็ว คุณอาจรู้สึกหายใจไม่ออกแม้กำลังพักผ่อนอยู่ก็ตาม หัวใจเต้นเร็ว มีไข้ รู้สึกไม่สู้ดี ไม่อยากอาหาร เหงื่อออกและหนาวสั่น
  • เจ็บหน้าอก: ซึ่งจะรุนแรงขึ้นระหว่างการไอหรือหายใจ

อาการที่พบได้ไม่บ่อยของโรคปอดบวมมีดังนี้: ไอเป็นเลือด (haemoptysis) ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า คลื่นไส้หรืออาเจียน หายใจวีด ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ รู้สึกสับสนและงุนงง โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ

ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?

ควรไปพบแพทย์เมื่อคุณรู้สึกไม่สู้ดีและมีอาการทั่วไปของโรคปอดบวม

ให้รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วนหากคุณประสบกับอาการรุนแรง เช่นหัวใจเต้นเร็ว เจ็บหน้าอก หรือสับสน

ใครสามารถเป็นโรคนี้ได้บ้าง?

โรคปอดบวมเกิดกับผู้ใหญ่ประมาณ 8 คนจาก 1,000 คนในแต่ละปี และจะเกิดขึ้นบ่อยระหว่างช่วงฤดูฝนและหนาว

โรคปอดบวมสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่ที่พบได้บ่อยและนับเป็นภาวะอันตรายที่สุดคือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยและผู้สูงอายุ

คนในกลุ่มเหล่านี้อาจต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจากโรคปอดบวมเพราะมักจะประสบกับอาการที่รุนแรงเป็นพิเศษ

อะไรเป็นสาเหตุของโรคปอดบวม?

ภาวะปอดบวมมักเป็นผลมาจากการติดเชื้อ pneumococcal ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae

ในความเป็นจริงแล้วมีแบคทีเรียหลายชนิดที่สามารถทำให้เกิดโรคปอดบวมได้ เช่น Haemophilus influenzae และ Staphylococcus aureus เช่นเดียวกับเชื้อไวรัส และเชื้อรา (พบได้น้อยมาก)

เช่นเดียวกันนั้น โรคปอดบวมจากแบคทีเรียก็มีหลากหลายประเภทดังนี้

  • ปอดบวมจากไวรัส: มักเกิดจากไวรัส respiratory syncytial virus (RSV) และไข้หวัดใหญ่ (influenza) ชนิด A หรือ B ส่วนไวรัสเป็นสาเหตุหลักของโรคปอดบวมในเด็กเล็ก
  • โรคปอดบวมจากการสำลัก: เกิดจากการหายใจเอาอาเจียน สิ่งแปลกปลอม หรือสารอันตรายเข้าไป
  • ปอดบวมจากเชื้อรา: หายากและมักเกิดกับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ปอดบวมจากโรงพยาบาล: เป็นภาวะปอดบวมที่เกิดขึ้นระหว่างที่พักรักษาตัวจากภาวะสุขภาพอื่น ๆ หรือต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล  ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเข้มข้นที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจจะมีความเสี่ยงต่อภาวะปอดบวมสูงเป็นพิเศษ

กลุ่มเสี่ยง

กลุ่มคนต่อไปนี้จะมีความเสี่ยงต่อโรคปอดบวมสูงมาก: ทารกและเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่นหอบหืด โรคซิสติก ไฟรโบรซิส หรือโรคหัวใจ ผู้ที่มีภาวะตับหรือไต ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เช่นจากไข้หวัด HIV หรือ AIDS กำลังเข้ารับการรักษาเคมีบำบัด หรือกำลังใช้ยาบางประเภทที่ใช้หลังการปลูกถ่ายอวัยวะ

การวินิจฉัยภาวะปอดบวม

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคปอดบวมได้จากการสอบถามอาการและตรวจสอบภายในอกของคุณ โดยอาจมีการทดสอบอื่น ๆ เพิ่มเติมตามความจำเป็น

ปอดบวมเป็นภาวะที่ทำการวินิจฉัยได้ยากเพราะมีหลาย ๆ ภาวะที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่นไข้หวัดธรรมดา โรคหลอดลมอักเสบ และหอบหืด

เพื่อประกอบการวินิจฉัย แพทย์อาจจะสอบถามประเด็นต่อไปนี้กับคุณ: ถามว่าคุณมีอาการหายใจติดขัดหรือหายใจถี่กว่าปกติหรือไม่? คุณมีอาการไอมานานแค่ไหน และไอมีเสมหะออกมาหรือไม่ มีเสมหะสีอะไร? อาการเจ็บหน้าอกรุนแรงขึ้นขณะหายใจเข้าออกหรือไม่?

แพทย์จะทำการวัดอุณหภูมิร่างกายของคุณและฟังเสียงภายในอกและแผ่นหลังด้วย stethoscope เพื่อฟังเสียงที่ผิดปรกติต่าง ๆ เนื่องจากปอดที่มีของเหลวมากจะมีเสียงอากาศภายในที่แตกต่างจากปอดที่สุขภาพดี

หากคุณเป็นภาวะปอดบวมที่ไม่รุนแรง คุณก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการเอกซเรย์หน้าอกหรือการทดสอบอื่น ๆ

คุณอาจต้องเข้ารับการเอกซเรย์หน้าอกหรือการตรวจประเภทอื่น เช่นการตรวจเสมหะหากว่าอาการของคุณไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มการรักษาไปแล้ว

การรักษาภาวะปอดบวม

คุณสามารถทำการรักษาโรคปอดบวมที่ไม่รุนแรงได้เองที่บ้าน ด้วยการ: พักผ่อนให้มาก ๆ ทานยาปฏิชีวนะ ดื่มน้ำมาก ๆ

หากคุณไม่มีปัญหาสุขภาพใด ๆ คุณควรจะตอบสนองต่อการดูแลตนเองข้างต้นได้ดีและจะฟื้นตัวจากโรคได้เร็ว แต่ก็อาจจะมีอาการไอค้างอยู่ระยะเวลาหนึ่งอยู่ดี

มีคำถามเกี่ยวกับ ปอดบวม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ภาวะปอดบวมไม่สามารถแพร่ไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้นคนใกล้ชิดของคุณก็สามารถเข้าใกล้คุณได้โดยไม่ต้องกังวลใด ๆ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอควรเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยโรคปอดบวมไปจนกว่าผู้ป่วยจะหายดี

สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ภาวะปอดบวมอาจมีความรุนแรงเป็นพิเศษ และต้องเข้ารับการรักษาภาวะที่โรงพยาบาล เนื่องจากความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่าง ๆ ซึ่งในบางกรณีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพและอายุของผู้ป่วยอีกที

แพทย์จะจ่ายยาปฏิชีวนะให้กับผู้ป่วยโรคปอดบวม โดยคุณต้องทานยาปฏิชีวนะที่ได้รับมาตามกำหนดอย่างเคร่งครัดแม้ว่าจะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม

หากคุณหยุดยาปฏิชีวนะเองโดยที่ยังไม่ครบคอร์ส จะยิ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยามากขึ้น

หลังจากเริ่มการรักษาและดำเนินการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง อาการของคุณควรจะดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตามการที่จะหายจากโรคปอดบวมโดยสมบูรณ์นั้นจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะของคุณ

ลำดับการดีขึ้นจากโรคปอดบวมมีดังนี้

  • ภายในหนึ่งอาทิตย์: ควรจะหายจากไข้
  • ภายในสี่อาทิตย์: อาการปวดหน้าอกและเสมหะควรจะลดลงอย่างมาก
  • ภายในหกอาทิตย์: อาการไอและหายใจติดขัดควรจะลดลงอย่างมาก
  • ภายในสามเดือน: อาการส่วนมากควรจะหายไป แต่อาจมีอาการเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
  • ภายในหกเดือน: ผู้ป่วยส่วนมากจะกลับไปเป็นปกติ

การรักษาภาวะปอดบวมที่บ้าน

ควรไปพบแพทย์เมื่ออาการปอดบวมไม่ดีขึ้นภายในสามสัปดาห์หลังเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ โดยอาการจะไม่ดีขึ้นหากว่า

  • เชื้อแบคทีเรียเริ่มดื้อยา: แพทย์จะทำการจ่ายยาปฏิชีวนะตัวใหม่แก่คุณ หรืออาจจะให้คุณทานยาปฏิชีวนะตัวที่สองร่วมกับตัวแรก
  • เป็นภาวะปอดบวมจากเชื้อไวรัสแทนที่จะเป็นแบคทีเรีย: ยาปฏิชีวนะจะไม่ออกฤทธิ์กับเชื้อไวรัส ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณต้องสร้างแอนติบอดีเข้ามาจัดการกับไวรัสเอง

การทานยาแก้ปวดอย่างพาราเซตตามอลหรืออิบูโพรเฟนสามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดไข้จากภาวะปอดบวมได้ แต่คุณไม่ควรใช้ยาอิบูโพรเฟนหากว่า

  • คุณแพ้ยาแอสไพรินหรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) คุณเป็นโรคหอบหืด โรคไต เคยมีมีแผลในกระเพาะอาหาร หรือเคยเป็นภาวะอาหารไม่ย่อย
  • แพทย์มักไม่แนะนำให้คุณทานยาแก้ไอเพราะมีหลักฐานเรื่องประสิทธิผลของยาจำพวกนี้น้อยมาก คุณสามารถใช้วิธีจิบน้ำผึ้งผสมมะนาวบรรเทาอาการเจ็บคอจากการไอได้
  • คุณอาจจะมีอาการไอต่อเนื่องหลังการใช้ยาปฏิชีวนะครบคอร์สแล้วสองถึงสามสัปดาห์ อีกทั้งยังอาจมีอาการเหน็ดเหนื่อยค้างอยู่นานกว่านั้นก็ได้
  • การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำ และการพักผ่อนมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
  • หากคุณเป็นคนสูบบุหรี่ สิ่งที่ควรทำคือการเลิกบุหรี่เสียเพราะจะยิ่งสร้างความเสียหายแก่ปอดมากขึ้น

คุณควรไปพบแพทย์หากว่าปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นและยังคงมีอาการเหมือนเดิมหรือกลับยิ่งทรุดลงตามที่ควรจะเป็น

การติดตามผลการรักษา

แพทย์อาจจัดให้คุณมาพบอีกครั้งหลังเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะหกสัปดาห์

ในบางกรณีพวกเขาอาจต้องจัดการทดสอบติดตามผลต่าง ๆ เช่นการเอกซเรย์หน้าอก หากว่า: อาการของคุณไม่ดีขึ้น อาการต่าง ๆ กลับมาซ้ำ คุณเป็นคนสูบบุหรี่ คุณมีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป

ผู้ป่วยบางรายอาจถูกแนะนำให้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หรือป้องกันโรคปอดบวมหลังจากที่หายจากภาวะปอดบวมที่เป็นอยู่ก็ได้

การรักษาภาวะปอดบวมที่โรงพยาบาล

คุณอาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหากว่าอาการปอดบวมมีความรุนแรง โดยคุณจะได้รับยาปฏิชีวนะเข้าเส้นเลือดผ่านตัวหยดยาโดยตรง และอาจต้องมีการสวมหน้ากากออกซิเจนเพื่อช่วยการหายใจด้วย

ในกรณีผู้ที่ป่วยเป็นโรคปอดบวมรุนแรงอย่างมาก จะมีการใช้เครื่องช่วยหายใจในแผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน (ICU) ในการรักษา

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดบวม

ภาวะแทรกซ้อนจากปอดบวมนั้นพบได้บ่อยกับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อน เช่นเบาหวาน เป็นต้น โดยมีตัวอย่างภาวะแทรกซ้อนดังนี้

  • ภาวะเยื่อหุ้มปอดอักเสบ (pleurisy): ที่ซึ่งชั้นบาง ๆ ระหว่างปอดกับกระดูกซี่โครงเกิดการอักเสบจนอาจนำไปสู่ภาวะระบบหายใจล้มเหลว
  • ฝีที่ปอด: ภาวะแทรกซ้อนหายากที่พบได้บ่อยกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอยู่ก่อน หรือมีประวัติการติดแอลกอฮอล์มาก่อน
  • ภาวะโลหิตเป็นพิษ (blood poisoning): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่หายากเช่นกัน แต่หากเกิดขึ้นจะนับเป็นภาวะร้ายแรงมาก

หากคุณเริ่มมีอาการจากภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ คุณจะต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทันที

การป้องกันโรคปอดบวม

แม้ว่าภาวะปอดบวมส่วนมากจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่แพร่เชื้อไปยังผู้อื่น แต่ผู้ป่วยก็ควรรักษามาตรฐานสุขอนามัยให้ดีอยู่เสมอเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

ยกตัวอย่างเช่น: ปิดปากและจมูกขณะไอหรือจามด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษชำระ ทิ้งกระดาษชำระที่ใช้แล้วทันทีเพราะเชื้อโรคสามารถมีชีวิตรอดนอกร่างกายได้นานหลายชั่วโมง ล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันการส่งต่อเชื้อโรคไปยังสิ่งของหรือผู้อื่น

การใช้ชีวิตอย่างถูกสุขอนามัยจะช่วยป้องกันการเป็นโรคปอดบวมได้ ยกตัวอย่างเช่นการเลี่ยงบุหรี่ที่สามารถทำลายปอดและเพิ่มโอกาสการติดเชื้อ เป็นต้น

การปริโภคแอลกอฮอล์ต่อเนื่องจะทำให้เกราะป้องกันตามธรรมชาติของปอดอ่อนแอลง แปลว่าจะยิ่งทำให้คุณอ่อนไหวต่อการเป็นโรคปอดบวมขึ้นตาม

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคปอดบวมสูงควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและไข้หวัดทุกปี

มีคำถามเกี่ยวกับ ปอดบวม? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ