สิว ถือเป็นปัญหาอันดับต้นๆ เกี่ยวกับใบหน้าที่หลายคนรำคาญใจ เพราะนอกเหนือจากความเจ็บปวดจากการอักเสบแล้ว สิวยังทำให้ผิวใบหน้า และบริเวณอื่นๆ ของร่างกายไม่เรียบเนียน ดูไม่สะอาด จนทำให้ขาดความมั่นใจ
หลายคนเมื่อเป็นสิวก็จะหันไปพึ่งยาทา หรือหาคลินิกเสริมความงาม หรือแพทย์ผิวหนัง แต่หากคุณรู้ถึงสาเหตุ ที่มาที่ไปของการเกิดสิว บางทีคุณก็อาจแก้ปัญหาการเกิดสิวได้ด้วยตนเอง
สารบัญ
ความหมาย สาเหตุ
สิว เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของรูขุมขน และต่อมไขมัน ส่งผลให้ผิวหนังมีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก สิวมีทั้งชนิดหัวดำ และหัวขาว โดยมีลักษณะแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดของสิว เช่น สิวอุดตัน สิวตุ่มนูนแดง สิวตุ่มหนอง สิวซีสต์ และสิวอักเสบเป็นตุ่มเนื้อลึกใต้ผิวหนัง
บริเวณที่สามารถพบสิวได้มากที่สุด คือ ใบหน้า หน้าอก คอ ไหล่ ต้นแขน และหลัง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในเด็กวัยรุ่น เนื่องจากเป็นช่วงที่มีฮอร์โมนเพศเปลี่ยนแปลง
แต่ก็ไม่ได้จำกัดว่าสิวจะขึ้นเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่ที่มีอายุประมาณ 20-40 ปี ก็เป็นสิวได้เช่นกัน เนื่องจากในวัยผู้ใหญ่ร่างกายก็ยังผลิตฮอร์โมนเพศออกมา
มีการค้นพบด้วยว่า สิวชนิดรุนแรงนั้นมักเกิดในกลุ่มผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นสิวที่ทำให้มีอาการเจ็บปวด ทั้งยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นสิวไว้ด้วย แม้ว่าสิวจะไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่ก็ส่งผลกระทบมากพอที่จะทำให้คนๆ หนึ่งมีปมด้อยไปตลอดชีวิตได้
เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
“โพรพิโอนิแบคทีเรียม แอคเน่ (Propionibacterium acnes: P.acnes)” จัดอยู่ในกลุ่มแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว เนื่องจากแบคทีเรียตัวนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก ได้แก่ ใบหน้า แก้ม หน้าอก หลัง
โดยแบคทีเรีย P.acnes สามารถเจริญเติบโตได้ด้วยความสามารถในการใช้น้ำตาลกลูโคสแบบไม่ต้องใช้ออกซิเจน จึงทำให้แบคทีเรียเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
แบคทีเรีย P.acnes พบได้มากที่บริเวณจมูก เป็นสาเหตุของการเกิดสิวที่พบได้บ่อยที่สุด สามารถทำให้ผิวระคายเคือง อักเสบ บวมแดง เป็นหนอง ที่เรียกกันว่า “สิวอักเสบ” นั่นเอง
ผลกระทบจากเชื้อแบคทีเรีย P.acnes
เชื้อแบคทีเรีย P.acnes อาศัยอยู่ในรูขุมขน โดยจะหลั่งเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) และเอนไซม์โปรติเอส (Protease) ออกมา จนเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังของเราอักเสบ
นอกจากนี้ เชื้อแบคทีเรีย P.acnes ยังสามารถผลิตเอนไซม์ไลเปสเพื่อย่อยสลายไขมันไตรกลีเซอไรด์ซึ่งมาจากต่อมไขมันได้ และทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการรักษาสิวที่ผิดวิธี จะยิ่งทำให้ปฏิกิริยาการอักเสบจากแบคทีเรียพวกนี้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
เรายังสามารถพบ P. acnes ในระบบทางเดินอาหาร เช่นเดียวกับเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ดังนั้นคนที่พบว่ามีสิวเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ จึงจำเป็นต้องได้รับยารักษาสิวที่สามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ตรงตามสายพันธุ์ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาปฏิชีวนะ หรือยาต้านจุลชีพที่มีผลข้างเคียงเสมอไป
19 วิธีรักษาสิว และป้องกันสิวเห่อ
การรักษาสิวควรทำหลายวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคนควบคู่กันไป ซึ่งข้อควรทำมีดังต่อไปนี้
1. ลด หรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดการผลิตไขมันจากต่อมไขมัน เช่น การรับประทานอาหารทอด อาหารมัน การอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน
2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ชีส ช็อกโกแลต ขนมหวาน โดยเฉพาะคนที่มีผิวมันง่าย ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
3. ควรสระผมให้บ่อยขึ้น เพราะการปล่อยให้ผมมันจะทำให้สิ่งสกปรกลงมาเกาะตามใบหน้า รวมถึงเชื้อโรคต่างๆ ที่สะสมจนเป็นสาเหตุให้เกิดสิวได้
4. ไม่ควรใช้สบู่ล้างหน้า เนื่องจากสบู่มีความเป็นด่าง ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายผิว และเป็นตัวการหนึ่งที่จะก่อให้เกิดสิวบนใบหน้าได้นั่นเอง ถ้าจะให้ดีควรใช้โฟมล้างหน้าที่มีค่ากรด-ด่างที่เหมาะสมกับผิวหน้า
5. ไม่ควรปล่อยให้มีอาการท้องผูก เพราะถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้ เนื่องจากอาหารที่คั่งค้างอยู่ในท้องล้วนเป็นของเสีย และจะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ก่อให้เกิดสิวตามมาได้
6. หลีกเลี่ยงการใช้เวชสำอางที่ทำให้หน้ามัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง หรือครีมกันแดด
7. หันมาใช้เครื่องสำอาง หรือโลชั่นที่ปราศจากน้ำมัน หรือที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ว่า ไม่ก่อให้เกิดสิว และไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน เพราะผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จะมีความอ่อนโยน และปลอดภัยต่อผิว
8. เลือกสบู่ล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการแพ้จนเป็นสิวเห่อในภายหลัง และอาจต้องใช้เวลารักษาเป็นเวลานาน
9. ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการอดนอน หรือการเข้านอนดึก เพราะจะยิ่งกระตุ้นให้ระบบการทำงานของร่างกายแปรปรวน โดยเฉพาะปริมาณฮอร์โมนที่อาจเปลี่ยนไปจนไม่สมดุล ซึ่งจะก่อให้เกิดสิวได้ง่าย
10. พยายามปล่อยวางเรื่องเครียด และทำให้จิตใจให้แจ่มใสตลอดเวลา เพราะความเครียดจะเป็นตัวกระตุ้นให้ต่อมไขมันหลั่งออกมามากขึ้น
11. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้อารมณ์แจ่มใส และเหงื่อที่ออกมายังทำหน้าที่ช่วยชำระล้างรูขุมขนให้สะอาด ซึ่งถือเป็นการรักษาสิว และช่วยลดการเกิดสิวได้อีกทางหนึ่งด้วย
12. ล้างหน้าวันละ 2-3 ครั้ง หรือดูตามความจำเป็นของสภาพผิว เพราะสภาพแวดล้อมแต่ละวันย่อมแตกต่างกัน ทั้งนี้ การล้างหน้าบ่อยจนเกินไปก็มีส่วนทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตไขมันมากผิดปกติ จนทำให้เกิดการอุดตันของไขมัน และกลายมาเป็นสิวได้
13. เมื่อใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาดใบหน้า ควรล้างออกให้หมดจด ห้ามให้มีคราบตกค้างเป็นอันขาด เพราะนั่นจะทำให้เกิดสิวอุดตันขึ้นได้
14. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ต้องใช้วิธีการขัดถู เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สิวหายแล้ว ยังกระตุ้นให้เกิดการระคายเคือง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
15. หากหน้ามันมากเกินไป สามารถรับประทานยารักษาสิวช่วยลดความมันได้ ได้แก่ ยาในกลุ่มเรตินอยด์ (Retionoids) แต่ก่อนเริ่มใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานทุกครั้ง เนื่องจากยาตัวนี้มีข้อห้ามใช้ในคนบางกลุ่ม
16. ไม่ควรอาบแดด เพราะการอาบแดดจะทำให้ผิวแห้งขึ้น และในระยะยาวอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ โดยสามารถทำให้ผิวเหี่ยวย่นก่อนวัย ทั้งยังเสี่ยงทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
17. พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า และเลิกการเท้าคางเวลาคิด เนื่องจากมือเต็มไปด้วยแบคทีเรีย และถือเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิวเห่อได้ ที่สำคัญไม่ควรบีบ เกา หรือแกะสิว เพราะจะทำให้เกิดรอยแผลเป็น รอยดำ รอยหลุม รวมทั้งรอยนูนจากสิวได้
18. หลีกเลี่ยงฝุ่นควัน หรือมลพิษต่างๆ รวมทั้งการอยู่ในสถานที่ที่มีฝุ่นเยอะ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองจนเกิดสิวผด นอกจากนี้ยังเสี่ยงทำให้เชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกต่างๆ สะสมบนใบหน้า และทำให้เกิดสิวตามมา
19. หมั่นรักษาความสะอาดของเครื่องนอนอยู่เสมอ โดยเฉพาะปลอกหมอน เพราะเป็นสิ่งที่จะสัมผัสใบหน้าเวลานอน หากปลอกหมอน หรือที่นอนสกปรก ก็เท่ากับว่า เป็นการเปิดช่องทางให้เชื้อโรคเข้ามาสัมผัสใบหน้ามากขึ้น
วิธีรักษาสิวและลดรอยสิวด้วยธรรมชาติ
การรักษาสิว และลดรอยสิวด้วยวิธีธรรมชาติได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีความปลอดภัย และค่อนข้างเห็นผล ทั้งยังมีหลากหลายวิธีให้เลือกใช้ ดังต่อไปนี้
1. ลดรอยสิวด้วยมะนาว
มะนาวเป็นวัตถุดิบใกล้ตัวที่หาได้ง่าย แถมยังช่วยรักษาสิว และลดรอยสิวได้เป็นอย่างดี วิธีทำ คือ คั้นน้ำมะนาว แล้วใช้สำลีสะอาดก้อนกลมชุบน้ำมะนาวที่คั้นเตรียมไว้ จากนั้นก็นำมาแต้มที่สิว ติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รอยสิวเริ่มจางลงจากเดิม
2. ลดรอยสิวด้วยมะนาว และน้ำมันมะกอก
การรักษาสิวด้วยวิธีนี้ จะเพิ่มส่วนผสมเป็นน้ำมันมะกอกควบคู่ไปกับมะนาว เริ่มจากการนำส่วนผสมทั้ง 2 อย่างมาผสมในอัตราส่วนที่เท่ากัน แล้วนำมาป้ายสิว ทิ้งไว้ประมาณ 2-5 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้รอยสิวลดลงได้
3. ลดรอยสิวด้วยน้ำผึ้งและโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
ส่วนผสมยอดนิยมสำหรับการรักษาสิว และบำรุงใบหน้า ให้เตรียมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ผสมกับน้ำผึ้งแท้ในอัตราส่วนที่เท่ากัน จากนั้นคนให้ส่วนผสมเข้ากันแล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า หรือจะแต้มที่สิวอย่างเดียวก็ช่วยลดรอยสิวได้
วิธีลดรอยสิวด้วยวิธีนี้ ยังทำให้ใบหน้าแลดูกระจ่างใสมากขึ้น แถมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
4. ลดรอยสิวด้วยน้ำแข็ง
เป็นวิธีรักษาสิว และลดสิวที่ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำก้อนน้ำแข็งห่อด้วยผ้าขนหนูที่มีความนุ่ม จากนั้นนำมาวางบนสิว จะช่วยลดการอักเสบ ลดอาการคัน และยังช่วยลดรอยสิวได้เป็นอย่างดี
5. ลดรอยสิวด้วยไข่ขาว
ล้างหน้าให้สะอาด จากนั้นนำไข่มาตอก แล้วแยกระหว่างไข่แดงกับไข่ขาวออก นำเฉพาะไข่ขาวมาทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำแบบนี้ประมาณสัปดาห์ละประมาณ 1 ครั้ง จะเห็นถึงผลลัพธ์ที่รอยสิวเริ่มจางลง พร้อมทั้งมีรูขุมขนเล็กลงด้วย
6. ลดรอยสิวด้วยอบเชย และน้ำผึ้ง
อบเชยเป็นสมุนไพรที่ช่วยลดรอยสิวได้ ทั้งยังช่วยรักษาอาการอักเสบของสิวได้เป็นอย่างดี โดยนำน้ำผึ้งมาผสมกับอบเชย จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น
หากคุณใช้อบเชยลดรอยสิวอย่างเป็นประจำ จะช่วยให้รอยสิวจางลง แถมใบหน้ายังมีความชุ่มชื่นและกระชับมากขึ้นด้วย
7. ลดรอยสิวด้วยมะเขือเทศ
มะเขือเทศถือเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับการบำรุงใบหน้าให้สดใสและเปล่งประกาย ซึ่งการใช้มะเขือเทศนั้นก็สามารถรักษาสิวได้ดีเช่นกัน
โดยเริ่มจากการหั่นมะเขือเทศเป็นแว่นๆ หรือจะใช้วิธีการบดมะเขือเทศให้ละเอียดจนเป็นเนื้อเดียวกันก็ได้ จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ จะช่วยให้รอยสิวค่อยๆ จางลง
8. ลดรอยสิวด้วยกระเทียม
กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยาฆ่าเชื้อไวรัสและเชื้อราบนผิวได้เป็นอย่างดี ทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารกำมะถัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบของสิวได้ สำหรับวิธีการรักษาสิวด้วยกระเทียมนั้นก็ทำได้ง่ายๆ
โดยนำกระเทียมมาฝานบางๆ จากนั้นนำมาถูบนหัวสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ก็จะทำให้รอยสิวค่อยๆ จางลงและหายไปจากใบหน้าได้แล้ว
สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องสิว หากกำลังมองหาวิธีรักษาสิว และลดรอยสิว ลองหันมาใช้วิธีธรรมชาติ และปฏิบัติตามคำแนะนำในการลด และป้องกันสิวตามที่กล่าวมาดู นอกจากจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดแล้ว ยังไม่ต้องกังวลใจเรื่องความปลอดภัยต่อผิวหน้าอีกด้วย