เรื่องควรรู้ก่อนไปตรวจเบาหวาน

เบาหวาน (Diabetes) คือโรคที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการควบคุมการเผาผลาญน้ำตาลของอินซูลิน (Insulin) ในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดมาเปลี่ยนเป็นพลังงาน

มีคำถามเกี่ยวกับ ตรวจเบาหวาน? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

เมื่อระบบนี้เกิดความผิดปกติ ระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในร่างกาย เช่น ระบบหลอดเลือด ระบบประสาท และอาจนำไปสู่การเสียการมองเห็น มือบวม เท้าบวม หัวใจวาย

ตรวจเบาหวานคืออะไร?

การตรวจเบาหวาน คือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดว่าสูงเกินไปหรือไม่ ซึ่งมีการตรวจหลายประเภทที่ใช้ในการวินิจฉัย

หากพบว่าค่าน้ำตาลเสี่ยงเป็นเบาหวาน แพทย์จะกำหนดแนวทางการปรับพฤติกรรมต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหาร และยาช่วยควบคุมระดับน้ำตาลเพื่อป้องกันอาการที่ร้ายแรงในอนาคต

หากผลตรวจพบว่าไม่มีความเสี่ยงหรือความเสี่ยงน้อยที่จะเป็นเบาหวาน คุณก็ยังควรมาตรวจเบาหวานเป็นระยะอย่างน้อยทุก 3 ปี หรือตามที่แพทย์แนะนำ

ใครควรตรวจเบาหวาน?

โรคเบาหวานในระยะแรกๆ อาจไม่มีอาการแสดงให้เห็น หรือมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่นเดียวกับหลายๆ โรคที่หลายคนมักจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นก็ต่อเมื่ออาการลุกลามและเริ่มแสดงออกมาให้เห็นแล้ว

เมื่อมีทั้งคนที่แสดงอาการ และคนที่ไม่แสดงอาการ ผู้ที่ควรเข้ารับการตรวจเบาหวานจึงอาจแบ่งได้ 2 แบบ คือตามอาการ และตามปัจจัยเสี่ยง

ต่อไปนี้คืออาการที่อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวาน

  • หิวน้ำบ่อย
  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
  • รู้สึกหิวบ่อย หิวหลังจากกินอาหารไม่นาน
  • เห็นภาพไม่ชัด
  • ปวดปัสสาวะบ่อย
  • แผลหายช้ากว่าปกติ

สำหรับผู้ที่ไม่มีอาการข้างต้น หากมีเงื่อนไขข้อใดตรงกับข้อต่อไปนี้ ก็ควรเข้ารับการตรวจเบาหวานเช่นกัน

  • มีค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) เกินเกณฑ์ปกติ คำนวณค่าดัชนีมวลกายของคุณได้
  • มีค่าความดันเลือดหรือไขมันในเลือดสูง
  • มีค่าน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ
  • มีประวัติป่วยเป็นโรคหัวใจ
  • มีประวัติเคยเป็นภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome)
  • มีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน
  • ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ

ถ้าไม่มีเงื่อนไขหรืออาการใดๆ ตรงกับข้อดังกล่าวเลย อาจบ่งบอกว่าคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานน้อย แต่เมื่ออายุถึงประมาณ 45 ปีก็ควรรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดดู เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว เมื่ออายุมากขึ้น ความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานก็มากขึ้นเช่นกัน

ตรวจเบาหวานตรวจอะไรบ้าง?

การตรวจเบาหวานที่นิยมมากที่สุดมักใช้วิธีเจาะเลือดแล้วนำไปตรวจในห้องปฎิบัติการ เนื่องจากสะดวก รวดเร็ว และราคาไม่แพง มีเพียงบางกรณีที่ตรวจจากปัสสาวะ รายละเอียดการตรวจ อาจมีดังนี้

1. การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาช่วงอดอาหาร

การเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมา (Fasting plasma glucose test: FPG) เป็นการตรวจอันดับแรกๆ สำหรับการตรวจเบาหวาน

  • ค่าระดับน้ำตาลที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
  • ค่าระดับน้ำตาลที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจะอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ค่าระดับน้ำตาลที่อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานคือ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป

บางกรณีที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงถึง 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่มีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน แพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจเบาหวานรายการอื่นๆ เพิ่มเติม

2. การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาช่วงเวลาปกติ

การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาช่วงเวลาปกติ (Casual plasma glucose) เป็นการตรวจเบาหวานโดยวัดระดับน้ำตาลในเลือดตอนไหนก็ได้โดยไม่ต้องอดอาหาร หรือรอเวลาหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย 8 ชั่วโมงเหมือนการตรวจแบบแรก

ระดับน้ำตาลกลูโคสในการตรวจประเภทนี้ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากมากกว่านี้คุณอาจมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

3. การตรวจน้ำตาลสะสมในเลือดฮีโมโกลบิน

การตรวจฮีโมโกลบิน (Hemoglobin A1c: HbA1c) เป็นหนึ่งในการตรวจเลือดที่สำคัญสำหรับติดตามและวินิจัยโรคเบาหวาน

มีคำถามเกี่ยวกับ ตรวจเบาหวาน? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

การตรวจเบาหวานแบบนี้เป็นการวัดค่าเฉลี่ยของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 6-12 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ายา อาหาร และพฤติกรรมของคุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้หรือไม่ เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของเซลล์เม็ดเลือดจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน

หากระดับน้ำตาลยังไม่ลดลงหรือคุมไม่อยู่ แพทย์อาจทำการปรับยาให้ การตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ผลลัพธ์ของการตรวจฮีโมโกลบินจะถูกตีค่าออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนี้

  • ผลออกมาน้อยกว่า 5.7% ถือว่าปกติ
  • ผลออกมาอยู่ระหว่าง 5.7-6.4% ถือว่าเสี่ยงเป็นเบาหวาน
  • ผลออกมามากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% อาจถือว่าเป็นโรคเบาหวาน

แต่การทดสอบนี้อาจให้ผลคลาดเคลื่อนได้ในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ จึงอาจต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล

4. การทดสอบความทนต่อกลูโคส

การทดสอบความทนต่อกลูโคส (The oral glucose tolerance test: OGTT) เป็นวิธีตรวจที่มักใช้กับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

นอกจากนี้อาจใช้เพื่อตรวจยืนยันผลสำหรับผู้ที่ตรวจด้วยวิธีข้างต้นแล้วระดับน้ำตาลปกติ แต่แพทย์ยังลงความเห็นว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 อยู่

วิธีนี้จะแตกต่างจากวิธีข้างต้นเล็กน้อย โดยแพทย์จะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน จากนั้นจะให้คุณดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลประมาณ 100 กรัม เมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมงจะทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้งเพื่อดูว่าน้ำตาลในเลือดสูงมากแค่ไหน

เกณฑ์การวัดผลอาจมีดังนี้

  • ผลออกมาน้อยกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่าปกติ
  • ผลออกมาอยู่ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่าเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผลออกมามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน

5. ตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะ มักไม่ใช่วิธีการหลักในการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน แต่แพทย์อาจขอให้ตรวจได้หากสงสัยว่าคุณอาจเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1

โดยปกติร่างกายจะใช้กลูโคสเป็นพลังงานให้กับกล้ามเนื้อ แต่ในผู้ที่เป็นเบาหวานจะขาดอินซูลินในการดึงเอากลูโคสในเลือดเข้าสู่กล้ามเนื้อเพื่อเป็นพลังงาน เมื่อกล้ามเนื้อไม่มีพลังงานจากกลูโคสก็จะเริ่มสลายไขมันสะสมเพื่อใช้เป็นพลังงานแทน

กระบวนการสลายไขมันนี้ทำให้เกิด คีโตน (Ketones) ขึ้น และสามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะ แม้คีโตนจะสามารถพบได้บ้างในภาวะปกติ แต่ส่วนมากจะพบได้น้อยหรืออาจไม่พบเลย

ตรวจเบาหวานต้องเตรียมตัวอย่างไร?

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น การตรวจเบาหวานส่วนมากมักใช้การเจาะเลือดเข้าไปตรวจในห้องปฎิบัติการ ดังนั้นหากทราบวันและเวลาตรวจล่วงหน้าแล้ว แพทย์อาจให้งดอาหารและน้ำเป็นเวลา 8 ชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดตรวจ

ตรวจเบาหวานคนท้อง ทำยังไง?

ผู้ที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์อาจเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้การเผาผลาญน้ำตาลเสียสมดุลจนเป็นเบาหวาน

ผู้ที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนอันตรายกับทั้งบุตรและตัวผู้ป่วยเอง เช่น อาจมีภาวะน้ำคร่ำมากไป บุตรตัวใหญ่กว่าเกณฑ์มาตรฐานทำให้คลอดได้ยากเสี่ยงต่อการตกเลือด

เกณฑ์ที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองของผู้ที่ตั้งครรภ์อาจเพิ่มเติมจากที่กล่าวไว้ด้านบนเล็กน้อย ดังนี้

  • มีค่าดัชนีมวลกายเกินกว่า 27 kg/m2
  • มีประวัติคลอดบุตรน้ำหนักเกิน 4 กิโลกรัมขึ้นไป
  • มีประวัติคลอดบุตรพิการหรือทารกเสียชีวิตในครรภ์โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีประวัติเคยถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน
  • มีประวัติเคยถูกวินิจฉัยว่าความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์มาก่อน

หากเข้าเงื่อนไขดังกล่าว แพทย์อาจให้เริ่มจากการตรวจด้วยวิธีทดสอบความทนต่อกลูโคส (OGTT) โดยงดอาหารและน้ำก่อนเวลาตรวจอย่างน้อย 8 ชั่วโมง

หากมีโอกาสเสี่ยงหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แพทย์อาจให้เจาะเลือดตรวจทุกครั้งที่มาฝากครรภ์ตามนัดด้วย

มีคำถามเกี่ยวกับ ตรวจเบาหวาน? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ