เล็บเท้ามักจะมีสีขาว บางครั้งเล็บอาจจะเปลี่ยนสีได้จากการทำเล็บ การขาดสารอาหาร การติดเชื้อ หรือการได้รับบาดเจ็บ เล็บเท้าดำนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางสาเหตุสามารถหายได้เอง แต่ถ้าหากอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้มั่นใจว่าไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่นที่รุนแรง
สารบัญ
สาเหตุที่ทำให้เล็บเท้าดำ
- โรคประจำตัว เช่น ภาวะซีด โรคเบาหวาน โรคหัวใจหรือโรคไต
- การติดเชื้อรา ถึงแม้ว่าการติดเชื้อรานั้นมักจะทำให้เล็บมีสีขาวหรือเหลือง แต่บางครั้งอาจจะทำให้เล็บกลายเป็นสีกำได้จากการสะสมของเซลล์ที่ตายแล้ว เล็บเท้าของคุณนั้นเป็นส่วนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อราอย่างมากเพราะว่าเชื้อรานั้นชื่นชอบที่ชื้นและอุ่น
- โรคมะเร็งผิวหนังชนิด melanoma เป็นมะเร็งผิวหนังชนิดที่รุนแรงที่สุดโดยมักจะมีลักษณะเป็นจุดสีดำหรือน้ำตาล ซึ่งจุดดังกล่าวนั้นสามารถเกิดขึ้นที่ใต้เล็บได้
- การบาดเจ็บ ส่วนมากมักเกิดจากอุบัติเหตุซึ่งทำให้เส้นเลือดที่อยู่ใต้เล็บนั้นเกิดการฉีกขาว ทำให้มีเลือดออกและทำให้เล็บดูเหมือนสีดำ
เมื่อไหร่ที่ต้องไปพบแพทย์
- การที่มีเล็บเท้าสีดำนั้นไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์และอาจจะไม่ต้องรักษาขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แต่หากคุณไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อให้มั่นใจว่าไม่ได้เกิดจากโรคที่รุนแรง
- การติดเชื้อราที่เท้านั้นไม่จำเป็นต้องพบแพทย์เสมอไป แต่ถ้าหากคุณเป็นโรคเบาหวาน คุณควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
- แพทย์ผิวหนังสามารถวินิจฉัยและรักษาภาวะนี้ได้ โดยเฉพาะหากสงสัยว่าเป็นมะเร็งผิวหนังชนิด melanoma แต่ถ้าหากว่าเกิดจากโรคอื่นๆ เช่นโรคเบาหวาน อาจจะไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ผิวหนังแต่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาโรคเบาหวาน
- แต่ถ้าหากอาการนั้นเป็นเรื้อรังและไม่หายไป ควรไปพบแพทย์เสมอ
ภาวะแทรกซ้อน
- การติดเชื้อราที่เล็บเท้าที่ไม่ได้รับการรักษานั้นสามารถทำให้มีการติดเชื้อแพร่กระจายไปทั่วทั้งเท้าหรือส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดการทำลายเล็บถาวรอีกด้วย
- หากคุณมีเล็บสีดำจากการเป็นมะเร็งผิวหนังชนิด melanoma แต่ได้รับการรักษาเหมือนกับการได้รับบาดเจ็บที่เล็บเท้าอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
- หากคุณสังเกตว่าจุดสีดำนั้นเริ่มแพร่กระจายไปทั่วทั้งเล็บหรือไม่หายไปแม้ว่าเล็บของคุณจะยาวไปแล้วก็ตามควรไปพบแพทย์
การรักษา
- การติดเชื้อราที่เล็บเท้านั้นสามารถรักษาได้ที่บ้านหากตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกๆ ด้วยการใช้ครีมฆ่าเชื้อรา ในรายที่มีการติดเชื้อรารุนแรงอาจจะต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาใช้ยาฆ่าเชื้อราตัวอื่น
- หากเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ จุดสีดำที่เกิดจากเส้นเลือดที่แตกนั้นจะหายไปเองเมื่อเล็บของคุณยาวขึ้น
- อย่างไรก็ตามหากเล็บของคุณยาวแต่จุดนั้นยังคงอยู่ แสดงว่าอาจเกิดจากโรคอื่น
- หากการเปลี่ยนสีของเล็บนั้นเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานหรือโรคอื่นๆ จะต้องรักษาที่โรคที่เป็นสาเหตุ
ผลลัพธ์ของการรักษา
- ผลลัพธ์จะขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเป็นหลัก สาเหตุที่เกิดจากการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อรานั้นจะมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพราะเมื่อเล็บนั้นยาวขึ้นก็จะทำให้อาการบาดเจ็บนั้นหายไป และการติดเชื้อราก็สามารถรักษาได้เองที่บ้าน
- แต่หากเกิดจากมะเร็งชนิด melanoma หรือโรคอื่นๆ มักจะขึ้นกับว่าคุณสามารถรักษาโรคที่เป็นสาเหตุได้เร็วขนาดไหน
การป้องกัน
การดูแลความสะอาดของเล็บและให้เล็บแห้งอยู่เสมอนั้นสามารถป้องกันบางสาเหตุที่ทำให้เล็บมีสีดำได้ และคุณอาจจะป้องกันไม่ให้เล็บเท้าได้รับการบาดเจ็บ เช่นการใส่รองเท้าหัวปิดเวลาทำงาน หรือใส่รองเท้าที่เหมาะสมเวลาออกกำลังกาย
แต่ถ้าหากเกิดจากโรคอื่น การป้องกันนั้นก็จะขึ้นกับโรคนั้นๆ เช่นการป้องกันการโดนแดดทีเท้าและการทาครีมกันแดดรอบเท้านั้นสามารถป้องกันมะเร็งชนิด melanoma ได้ และหากเกิดจากโรคอื่นๆ ก็สามารถป้องกันได้โดยการรักษาและจัดการโรคนั้นๆ ให้เหมาะสม
คำถามเกี่ยวกับเล็บเท้าดำ
จะสามารถแยกเล็บเท้าสีดำที่เกิดจากการบาดเจ็บในนักวิ่งมาราธอนกับสาเหตุอื่นๆ เช่น melanoma ได้อย่างไร ?
การแยกทั้ง 2 ภาวะนี้ออกจากกันนั้นอาจจะเป็นเรื่องยากบางครั้ง หากมีข้อสงสัยควรไปพบแพทย์ผิวหนัง melanoma มักจะต้องมีจุดสีน้ำตาลหรือดำที่เนื้อใต้เล็บเท้าที่แพร่กระจายมายังเล็บและขอบเล็บ ในขณะที่เล็บเท้าสีดำจากการบาดเจ็บนั้นมักจะไม่แพร่กระจายไปถึงขอบเล็บด้านข้าง และมักจะหายไปได้เองโดยไม่ต้องรักษาเมื่อเล็บนั้นยาวขึ้น สรุปก็คือหากคุณมีข้อสงสัยควรไปพบแพทย์
เล็บนิ้วมือดํา เกิดจากอะไร ?
สาเหตุส่วนใหญ่คล้ายเล็บเท้าดำ
- การกระแทกหรือบาดเจ็บ เล็บอาจมีเลือดคั่งใต้เล็บจากการโดนกระแทกหรือหนีบ
- การติดเชื้อรา เชื้อราบางชนิดทำให้เล็บหนา เปราะ และเปลี่ยนสีเป็นดำหรือเหลือง
- ภาวะเลือดคั่งจากการไหลเวียนไม่ดี เช่น โรคเบาหวาน หรือภาวะหลอดเลือดอุดตัน
- การสะสมของเม็ดสี เกิดจากการใช้ยาหรือการสัมผัสสารเคมีบางชนิด
- มะเร็งผิวหนังใต้เล็บ พบได้น้อย แต่เป็นภาวะร้ายแรงที่ทำให้เล็บมีสีดำผิดปกติ
หากเล็บดำโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือไม่หายภายใน 2-3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม