ปัญหาผิวหน้าไม่เต่งตึง หย่อนคล้อย มีร่องแก้ม หรือมีริ้วรอยบริเวณใต้ตาที่ชัดเจนคือ สัญญาณบอกถึงอายุที่มากขึ้น
ปัจจุบันมีวิธีเสริมความงามหลายรูปแบบที่สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาบนใบหน้าเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ (Filler) การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) หรือการฉีดเมโสแฟต (Meso fat) หลายคนอาจเป็นกังวลว่า การทำหัตถการเหล่านี้อาจส่งผลข้างเคียงในอนาคต
มีอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจคือ การนำไขมันของตนเองมาช่วยเติมเต็มความหย่อนคล้อยของใบหน้าแทน เรียกกันว่า “การฉีดไขมันใบหน้า (Lipofilling หรือ Fat filler)”
สารบัญ
การฉีดไขมันใบหน้า Lipofilling ใช้ไขมันจากส่วนใด?
การฉีดไขมันใบหน้า (Lipofilling หรือ Fat filler) คือ เทคนิคการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายมาฉีดแก้ปัญหาผิวหนังใบหน้าที่หย่อนคล้อย ไม่กระชับ มีริ้วรอยแห่งวัยอย่างชัดเจน
ตำแหน่งของร่างกายที่มักนำไขมันส่วนเกินมาใช้ฉีดที่ใบหน้า ได้แก่
- ไขมันต้นขาด้านใน
- ไขมันต้นขาด้านนอก
- ไขมันหน้าท้อง
- ไขมันบั้นเอว
- ไขมันสะโพก
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดไขมันใบหน้า?
การฉีดไขมันใบหน้าเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าดังต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาร่องใต้ตาลึก หรือผิวใต้ตาบาง จนเห็นเป็นรอยดำคล้ำชัดเจน
- ผู้ที่มีปัญหาหน้าผากแบน ไม่สมดุลกับลักษณะดวงตา จมูก ปาก บนใบหน้า
- ผู้ที่มีปัญหาร่องขมับแบน และต้องการให้ผิวบริเวณขมับดูตึงขึ้น
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยแห่งวัยชัดเจนขึ้น ผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย มีรอยตีนกาตามอายุ
- ผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้า แต่ไม่ต้องการทำศัลยกรรมตัดกระดูก หรือผ่าตัดเสริมซิลิโคน
ขั้นตอนการฉีดไขมันใบหน้า
การฉีดไขมันใบหน้ามีขั้นตอนหลักๆ ดังต่อไปนี้
เริ่มแรก ผู้เข้ารับบริการเข้าปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาผิวหน้าที่ต้องการฉีดไขมัน จากนั้นแพทย์ก็จะวิเคราะห์ว่า ควรเติมไขมันในส่วนไหน ปริมาณเท่าไรบ้าง
ในขั้นตอนนี้อาจรวมไปถึงการตรวจร่างกายผู้เข้ารับบริการด้วยว่า มีปริมาณไขมันในร่างกายเพียงพอที่จะดูดมาฉีดเติมบนใบหน้าหรือไม่ และตกลงกับผู้เข้ารับบริการว่าจะใช้ไขมันจากร่างกายส่วนไหนมาฉีด
เมื่อถึงวันนัด แพทย์จะดูดไขมันจากบริเวณของร่างกายที่มีไขมันสะสมมาก แล้วนำไปบรรจุในเครื่องหมุนเหวี่ยงความเร็วสูง (Centrifuge) เพื่อแยกนำเซลล์ไขมันบริสุทธิ์จากส่วนเกินอื่นๆ มาเก็บไว้
หลังจากนั้น แพทย์จะทำความสะอาดใบหน้าเพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้นฉีดยาชาที่ใบหน้าบริเวณที่จะฉีดไขมันเข้าไป แล้วนำเซลล์ไขมันบริสุทธิ์ที่คัดแยกไว้แล้วนำมาฉีดเข้าบริเวณใบหน้าที่ต้องการเติมเต็ม
เซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าใบหน้ามีโอกาสฝ่อสลายไปได้เป็นปกติในภายหลัง ซึ่งในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถและเทคนิคของแต่ละโรงพยาบาล หรือคลินิกที่จะเก็บรักษาเซลล์ไขมันไว้ให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้การเก็บรักษาเซลล์ไขมันให้ได้มากที่สุด นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าของผู้เข้ารับบริการเปลี่ยนแปลงได้ตามที่ต้องการแล้ว ยังช่วยให้เซลล์ไขมันสามารถเติมเต็มอยู่บนใบหน้าได้นานเป็นปีอีกด้วย
หากเซลล์ไขมันเกิดการฝ่อภายหลังการฉีด ใบหน้าของผู้เข้ารับบริการอาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากอย่างที่ต้องการ ซึ่งยังไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะคุณยังสามารถมาเข้ารับการฉีดไขมันอีกครั้งได้
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนฉีดไขมันใบหน้า เพื่อความปลอดภัย
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการฉีดไขมันใบหน้า
ขั้นตอนการเตรียมตัวเข้ารับบริการฉีดไขมันใบหน้าไม่ได้แตกต่างไปจากการเตรียมก่อนฉีดเสริมความงามหรือการทำศัลยกรรมอื่นๆ มากนัก ได้แก่
- แจ้งประวัติการรับประทานยา ประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัวต่างๆ ให้แพทย์ทราบก่อน
- งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด อาหารเสริม วิตามิน สมุนไพรบำรุงร่างกายประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนฉีดไขมันใบหน้า
- งดบริโภคแอลกอฮอล์ประมาณ 2 สัปดาห์ รวมถึงงดสูบบุหรี่เป็นเวลา 1 เดือนก่อนฉีดไขมัน
- อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย ก่อนเข้ามาฉีดไขมัน
- งดใช้เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวใดๆ บริเวณใบหน้า ในวันที่นัดมาฉีดไขมัน
การดูแลตนเองหลังฉีดไขมันใบหน้า
เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นภายหลังจากฉีดไขมัน คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และดูแลตนเองอย่างเหมาะสมดังนี้
- งดการโดนความร้อนจัด หรือความเย็นจัดทันทีหลังจากฉีดไขมัน งดทาครีมบำรุงผิว หรือโลชั่นบริเวณใบหน้า
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งเคร่งครัด
- ใช้เจล หรือน้ำแข็งประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมประมาณ 48 ชั่วโมงหลังจากฉีดไขมัน
- หาอะไรมาหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเวลานอน เพื่อลดอาการบวมประมาณ 3 วัน
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ รวมถึงงดสูบบุหรี่ประมาณ 2 เดือนหลังจากฉีดไขมัน
- ใช้ผ้ารัดกล้ามเนื้อ (compression garment) บริเวณใบหน้าประมาณ 3 สัปดาห์หลังฉีดไขมัน เพื่อลดอาการบวมช้ำ
- งดนวด หรือกดใบหน้า ให้พยายามจับอย่างเบามือแทน ไม่เช่นนั้นไขมันจะสลายตัวได้ง่ายขึ้น
- งดออกกำลังกาย กิจกรรมที่ออกแรงหนักๆ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการช้ำได้ง่าย
ผลข้างเคียงหลังการฉีดไขมันใบหน้า
คุณอาจได้รับผลข้างเคียงบางอย่างจากการฉีดไขมันใบหน้า เช่น
- มีอาการช้ำ หรือบวมบริเวณใบหน้า
- รู้สึกระบมบริเวณที่โดนเข็มฉีดยา
- รู้สึกระคายเคืองผิวจากยาชาที่ฉีดเข้าไป
ผลข้างเคียงที่กล่าวไปข้างต้นไม่ได้เป็นอันตราย แต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ปกติหลังจากฉีดไขมันแล้ว และโดยปกติหลังจากฉีดไขมันเสร็จแล้ว ผู้เข้ารับบริการก็ไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นแต่อย่างใด
แต่หากสังเกตว่า ตนเองมีอาการข้างเคียงที่รุนแรงกว่านั้น ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที เช่น
- มีไข้สูง
- เกิดรอยแดง หรือจุดประหลาดขึ้นบนใบหน้า
- ผิวบริเวณที่ฉีดไขมันเปลี่ยนเป็นสีซีดขาว
- ผิวบริเวณที่ฉีดไขมันเปลี่ยนเป็นสีแดง หรือรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส
- รู้สึกเจ็บแผลหรือระคายเคืองมากขึ้นเรื่อยๆ
ข้อดีของการฉีดไขมันใบหน้า
การฉีดไขมันใบหน้าด้วยไขมันของตนเองมีข้อดีอยู่หลายประการ ได้แก่
- ลดโอกาสเกิดอาการแพ้จากสารเคมีที่ฉีดเข้าไป เนื่องจากไขมันที่ฉีดเป็นไขมันจากร่างกายผู้เข้ารับบริการเอง จึงปลอดภัย กว่าการฉีดสารเคมีเข้าใบหน้า
- แผลเล็กมาก เนื่องจากเป็นเพียงการใช้เข็มฉีดยาฉีดไขมันเข้าไปเท่านั้น
- ไม่ต้องนอนพักฟื้นหลังฉีดไขมัน
- เป็นการช่วยลดสัดส่วนจากบริเวณของร่างกายที่ดูดไขมันไปใช้ด้วย
- ช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น เต่งตึงไม่หย่อนคล้อย และยังบำรุงฟื้นฟูผิวหน้าด้วย เนื่องจากไขมันของร่างกายก็ถือเป็นสารสำคัญในการบำรุงผิวอีกชนิดหนึ่ง
ข้อเสียของการฉีดไขมันใบหน้า
การฉีดไขมันใบหน้ามีข้อเสียรวมถึงข้อจำกัดบางอย่างที่ควรทราบ เช่น
- ไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีรูปร่างผอมมาก หรือมีปริมาณไขมันไม่มากพอที่จะดูดมาฉีดใบหน้า
- ไขมันในร่างกายมีโอกาสฝ่อสลายตัวได้ทั้งก่อนฉีดและหลังฉีด ผลลัพธ์ที่ผู้เข้ารับบริการคาดหวังอาจไม่เป็นดังที่ต้องการ หากการสลายตัวของไขมันมีมาก
- อาจต้องใช้เวลาถึงประมาณ 6 เดือน ใบหน้าจึงจะเริ่มมีมิติขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉีดไขมันใบหน้า ราคาเท่าไร?
ค่าฉีดไขมันใบหน้าอยู่ที่ประมาณ 10,000-30,000 บาท ขึ้นอยู่กับโปรโมชันของแต่ละโรงพยาบาลและคลินิก รวมถึงวิธีคิดราคาที่อาจคิดเป็นจุดที่ฉีด หรืออาจเป็นราคาเหมาทั้งใบหน้า
คุณควรเลือกใช้บริการฉีดไขมันใบหน้ากับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงทำหัตถการในโรงพยาบาล หรือคลินิกความงามที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
เพราะการฉีดไขมันใบหน้าโดยผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญในการปรับโครงสร้างใบหน้า ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ใบหน้าของคุณดูไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งยังอาจทำให้เกิดผลแทรกซ้อนตามมาภายหลังการฉีดด้วย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี