ปัญหากวนใจอย่างหนึ่งของวัยรุ่นที่กำลังฮอร์โมนพลุ่งพล่านมักหนีไม่พ้นปัญหาเรื่องสิว โดยเฉพาะสิวผด ที่จะกระจายอยู่ทั่วทั้งใบหน้า หน้าผากหรือหลัง ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน
สิวผดมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง รักษาด้วยตัวเองได้หรือไม่ หรือต้องไปพบคุณหมอ ใช้ระยะเวลาการรักษานานแค่ไหน
สารบัญ
สิวผด คืออะไร?
สิวผด หรือ สิวเทียม (Acne aestivalis) คือ สิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มๆ เป็นผดเล็กๆ แข็งๆ หัวปิด (Papule)
มักเห็นได้ชัดเจนเมื่อโดนแดดหรือเหงื่อออกมาก เพราะเมื่ออากาศร้อนจะกระตุ้นให้ต่อมใต้ผิวหนังเกิดการอักเสบ
สิวผด เกิดจากอะไร?
สิวผดมักเกิดหลังจากโดนแสงแดดประมาณ 1-3 วัน เพราะแสงแดดมีรังสียูวี โดยเฉพาะยูวีเอ แสงแดดจะกระตุ้นผิวหนัง จนเกิดอาการอักเสบของต่อมเหงื่อ เกิดเป็นสิวนูนๆ ไม่มีหัว ทั่วทั้งบริเวณใบหน้า หลัง หน้าอก
นอกจากนี้สิวผดยังเกิดได้จากเชื้อรา Pityrosporum ovale (P. ovale) ทำให้เกิดสิวที่มีลักษณะนูนเป็นสิวหัวปิดบางครั้งอาจมีตุ่มแดง คัน ร่วมด้วย
สิวผดที่เกิดจากเชื้อราส่วนใหญ่มักเกิดที่ผิวหนังบริเวณหน้าอก แผ่นหลัง สามารถพบที่ใบหน้า และคอได้บ้าง ส่วนใหญ่จะมีอาการคันบริเวณที่เป็นผื่น โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อน จะแตกต่างกับสิวผดทั่วไปตรงที่มีอาการคันเด่น
วิธีการตรวจที่แน่ชัดว่าสิวเกิดจากเชื้ออะไรทำได้โดยการเพาะเชื้อ
การรักษาสิวผดที่เกิดจากเชื้อราสามารถทำได้โดยการใช้ยาฆ่าเชื้อราในรูปแบบาทาและยารับประทาน
นอกจากแสงแดดกับเชื้อราแล้ว ความเครียด การนอนดึก การใช้แปรงแต่งหน้าที่ไม่สะอาด และการล้างหน้าที่ไม่ถูกวิธีก็ทำให้เกิดสิวผดได้เช่นกัน
เพราะเครื่องสำอางที่มีอนุภาคขนาดเล็กจะอุดตันรูขุมขน ทำให้ผิวหนังอักเสบเกิดสิวและสิวผดได้
รักษาสิวผด ผื่น ที่หลัง ที่หน้าผาก อย่างไรดี?
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการรักษา คือต้องแยกสิวผดออกจากสิวที่เกิดจากผลข้างเคียงของยา (Acneform eruption)
โดยลักษณะสิวที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาจะเป็นสิวนูนแดง เป็นผด และเป็นตุ่มคล้ายผื่น เกิดหลังจากใช้ยามาสักระยะหนึ่ง เช่น
- ยากลุ่มสเตียรอยด์ทั้งรูปแบบทาและรับประทาน
- ยาต้านชัก (Phenytoin)
- ยารักษาวัณโรคบางตัว (Isoniazid)
วิธีการรักษาคือต้องหยุดยาหากสามารถหยุดได้ หรือเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่นที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดสิวน้อยกว่า
ยารักษาสิวผด มีอะไรบ้าง?
การวินิจฉัยว่าสิวที่เกิดคือสิวผด ทำได้โดยการดูลักษณะสิวที่มีลักษณะเป็นผด กระจายอยู่ทั่วบริเวณหน้าผาก แก้ม หลังและเกิดหลังจากสัมผัสแสงแดดประมาณ 1-3 วัน
ยารักษาสิวผดจะอยู่ในรูปแบบยาทา แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีวิธีการใช้ ดังนี้
1. กรดวิตามินเอ (Retinoids)
กลไกการออกฤทธิ์ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อกันว่าจะทำให้เซลล์ผิวหนังจับตัวกันหลวมขึ้น และเพิ่มการหลุดลอกของเซลล์บุผิว (Epithelial cell) ช่วยลดการอุดตันของต่อมใต้ผิวหนังที่ทำให้เกิดสิวผด
นอกจากนี้ กรดวิตามินเอยังมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบที่ผิวด้วย
วิธีใช้คือ ทาบางๆ วันละ 1 ครั้งก่อนนอน หลีกเลี่ยงการทายารอบบริเวณที่มีผิวหนังบอบบาง เช่น รอบดวงตา มุมปาก เพราะอาจจะระคายเคืองและผิวลอกได้
หากใช้ยานี้รักษาสิวผดต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดและแสงไฟ นอกจากนี้ยังไม่ควรใช้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปีและห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพราะเสี่ยงทำให้ทารกพิการได้
2. ยากลุ่มเบนโซอีลเพอรอกไซด์ (Benzoyl peroxide)
มีฤทธิ์ช่วยละลายหัวสิวทั้งสิวหัวปิด สิวอุดตัน และสิวผด นอกจากนี้ยังสามารถช่วยทำลายเชื้อ P. acne ที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ด้วย
วิธีใช้คือ ทาบริเวณที่เป็นสิวผดก่อนล้างหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น แล้วล้างออก
แต่ยานี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว จึงควรทาบางๆ และหากมีอาการผิวอักเสบแดง ควรรีบล้างออกและใช้ยาที่มีความเข้มข้นต่ำก่อน
3. ยาฆ่าเชื้อราที่ผิวหนัง
หากสิวผดที่เกิดขึ้นมีอาการคันร่วมด้วยจะเกิดจากเชื้อรา ดังนั้นยาที่เหมาะสมคือจึงเป็นยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีทั้งรูปแบบยาทาและยารับประทาน
หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นสิวผดจากเชื้อราหรือสิวเชื้อรา การรักษามักเริ่มด้วยยารับประทานก่อน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงกว่า สามารถกระจายไปยังรูขุมขนได้ดีกว่า
ยาทามักใช้เป็นยาเสริมร่วมกับยารับประทาน ระยะเวลาการรักษาประมาณ 1-2 เดือน แต่อาจใช้เวลารักษารักษานานกว่านี้หากกลับมาเป็นซ้ำบ่อย
ระยะเวลารักษาสิวผด ใช้เวลาประมาณเท่าไร?
ระยะเวลารักษาสิวผดโดยทั่วไปจะใช้เวลารักษาประมาณ 1 เดือน
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณของสิวบริเวณที่มีอาการ และชนิดของยาที่ใช้ หากใช้ยากลุ่มกรดวิตามินเอรักษา ในช่วงเดือนแรกจะมีสิวเห่อขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นอาการจึงจะค่อยๆ ดีขึ้น
ใช้ระยะเวลารวมประมาณ 3 เดือน การปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงสิวผดก็จะมีส่วนช่วยทำให้สิวผดหายเร็วขึ้น
วิธีรักษาสิวผดแบบธรรมชาติ มีอะไรบ้าง?
ผิวที่มีสุขภาพดีนั้น เริ่มต้นจากการที่ร่างกายแข็งแรง
เพราะนอกจากแสงแดดจะเป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดสิวผดแล้ว ภูมิคุ้มกันร่างกายก็มีส่วนช่วยทำให้ผิวของเราแข็งแรง
ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รักษาระบบขับถ่ายให้ทำงานดี และการรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว ก็จะช่วยให้คุณมีผิวสดใสและสวยงามห่างไกลจากสิวผดได้
วิธีรักษาสิวผดด้วยตนเอง
วิธีรักษาและป้องกันสิวผดสามารถรักษาได้ด้วยตัวเอง โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวผด ดังนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมกันแดดทุกครั้งก่อนสัมผัสรังสียูวีทั้งยูวีเอและยูวีบี โดยดูจากค่า SPF และ PA ที่มีค่าสูงมากเพียงพอสำหรับการสัมผัสแดดในแต่ละวันของคุณ และทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที
- วันที่แต่งหน้า ต้องทำความสะอาดผิวหน้าด้วยคลีนซิงและล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวให้หมดจด เพราะเครื่องสำอางก็เป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดสิวทั้งสิวผดและสิวอักเสบ
- หากใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่ไม่ทราบส่วนผสมแล้วเกิดสิวผด ควรหยุดใช้ทันที เพราะผลิตภัณฑ์ที่ใช้อาจมีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ที่ทำให้เกิดสิวผดได้
- ลดการรบกวนผิว เช่น นวดหน้า ขัดหน้า สครับหน้า รวมถึงนำมือที่สกปรกมาสัมผัสหน้าบ่อยๆ เพราะจะกระตุ้นให้เกิดผิวอักเสบ ทำให้ผิวหนังระคายเคือง ไม่เรียบเนียน
- ไม่ควรล้างหน้าด้วยสารลดแรงตึงผิวที่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้ง่าย เช่น สบู่ โฟมล้างหน้าที่ทำให้ผิวตึงมากเกินไป และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกิน 3 ครั้งต่อวัน เพราะจะทำให้ผิวระคายเคือง หากเป็นสิวผดอยู่แล้ว สิวจะยิ่งกระจายรุนแรงมากขึ้น
เขียนบทความโดย ทีมเภสัชกร HD