ล้างพิษในหลอดเลือดด้วยคีเลชั่นบำบัด scaled

ล้างพิษในหลอดเลือดด้วยคีเลชั่นบำบัด

การล้างพิษออกจากระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นที่นิยมสำหรับผู้สนใจใส่ใจสุขภาพมาระยะหนึ่งแล้ว วิธีการล้างพิษออกจากร่างกายทำได้หลายวิธี รวมถึงวิธีการที่เรียกว่า “คีเลชั่นบำบัด” ซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่งของการแพทย์ทางเลือก ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสามารถล้างสารพิษจำพวกโลหะหนักออกจากร่างกาย ส่งเสริมให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

มีคำถามเกี่ยวกับ คีเลชั่น? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

คีเลชั่นบำบัดคืออะไร?

คีเลชั่น (Chelation) มาจากศัพท์ภาษากรีก โดยคำว่า “คีลี (Chele)” มีความหมายถึง “ก้ามปู” หรือ “กุ้ง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงกลไกการสร้างพันธะเคมีระหว่างสารประกอบอินทรีย์กับสารประกอบไอออนของโลหะหนักที่มีลักษณะคล้ายกับการหนีบของก้ามปู ในทางการแพทย์ “คีเลชั่นบำบัด (Chelation therapy)” จึงหมายถึง การให้ยาหรือสารเคมีเข้าไปในร่างกายเพื่อกำจัดสารโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว สารปรอท สารหนู และสารโลหะที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น เช่น ธาตุเหล็ก ทองแดง สังกะสี ที่จับอยู่ในผนังหลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ ให้ออกจากร่างกาย ซึ่งสารเหล่านี้ได้เข้าสู่ร่างกายได้หลายช่องทาง ส่งผลให้เกิดการอักเสบในบริเวณที่สะสม และเป็นตัวการสำคัญที่เหนี่ยวนำให้เกิดสารอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย

สารที่นิยมใส่เข้าไปในร่างกายทางหลอดเลือดดำเพื่อทำคีเลชั่นบำบัดคือ กรดอะมิโน ชื่อ เอทิลีนไดอะมีนเตตระแอซิติก (Ethylene Diamine Tetraacetic Acid:EDTA) ในปัจจุบันการทำคีเลชั่นบำบัดเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมบำบัดโรคที่ใช้รักษาภาวะหลอดเลือดแดงแข็งหรือตีบ (Arterosclerosis) ร่วมกับการบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่ การควบคุมอาหาร การบริโภคอาหารเสริม การออกกำลังกาย การควบคุมความเครียด โดยอาจร่วมกับการรับประทานยาหรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย ซึ่งจะพิจารณาโดยแพทย์ผู้ทำการรักษา

การให้ EDTA จะให้ร่วมกับยาตัวอื่นๆ โดยแพทย์จะผสม EDTA กับน้ำเกลือและหยดเข้าทางหลอดเลือดดำ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 3 ชั่วโมง โดยทั่วไปจะทำเช่นนี้ประมาณ 1 หรือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และระยะเวลาในการทำคีเลชั่นบำบัดของผู้ป่วยแต่ละรายจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

ประโยชน์ของคีเลชั่นบำบัด

คีเลชั่นบำบัด มีประโยชน์ในเรื่องเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดสะอาดและมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคความดันโลหิตสูง ขจัดอนุมูลของสารโลหะหนักในเลือด ลดการก่อตัวของตะกรันและคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ดังนั้น การทำคีเลชั่นบำบัดจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น ชอบรับประทานอาหารรสหวาน ไขมันสูง อาหารทอด อาหารปิ้งย่าง ผู้ที่สูบบุหรี่จัดหรือดื่มแอลกอฮอล์มาก ผู้ที่มีภาวะเครียดอยู่เป็นเวลานาน สตรีที่วางแผนตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยที่มักปวดเกร็งน่องขณะออกกำลังกาย ผู้ที่พบสารพิษและสารโลหะหนักในร่างกายเป็นจำนวนมาก เป็นต้น

มีคำถามเกี่ยวกับ คีเลชั่น? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ผลข้างเคียงและอาการไม่พึ่งประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการทำคีเลชั่นบำบัด

การทำคีเลชั่นบำบัดอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้เช่นเดียวกับการรักษาทั่วไป อาการไม่พึงประสงค์จากการทำคีเลชั่นบำบัด มี 2 แบบ ได้แก่ อาการไม่พึงประสงค์ที่ไม่ร้ายแรง (Minor adverse events) ที่พบบ่อย คือ อาการปวดในบริเวณที่ฉีดสาร EDTA อาการปวดเมื่อยตามตัว รู้สึกอ่อนเพลีย หรือ อาจมีไข้ต่ำๆ เกิดจากการที่สารพิษโลหะหนักถูกดึงออกมาสู่กระแสเลือด อาการเหล่านี้เกิดขึ้นชั่วคราวและส่วนมากจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง อาการไม่พึงประสงค์อีกแบบหนึ่ง เป็นอาการพึงประสงค์ที่ค่อนข้างร้ายแรง (Serious adverse events) พบว่าเกิดขึ้นได้น้อยมาก มักเกิดจากการบริหารยา เช่น EDTA เข้าสู่ร่างกายในปริมาณและอัตราเร็วที่ไม่เหมาะสม โดยพบว่าผู้ป่วยมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะจากภาวะความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) หรือระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะไตทำงานผิดปกติร่วมด้วย หรืออาจพบอาการชาบริเวณริมฝีปาก (Peri-oral numberness) จากภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypomagnesemia) หรือบางรายอาจพบอาการหดเกร็งตามข้อมือข้อเท้า (Carpopedal spasm) ซึ่งภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงสามารถป้องกันได้ เช่น การแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารก่อนการทำคีเลชั่นบำบัดเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือแพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพิ่มระดับแคลเซียมในเลือดเมื่อเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ เป็นต้น

กลุ่มเสี่ยงที่ห้ามทำคีเลชั่นบำบัด

คีเลชั่นบำบัดมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากดังได้กล่าวมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ห้ามทำคีเลชั่นบำบัด ได้แก่

  • ผู้ป่วยไตวาย
  • หญิงตั้งครรภ์
  • ผู้แพ้สาร EDTA
  • ผู้มีไข้
  • ผู้ที่มีภาวะสมองผิดปกติจากตะกั่วเฉียบพลัน (Acute lead encephapathy)
  • ผู้ที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติหรือผู้ที่ได้รับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์

นอกจากนี้มีข้อควรระวังการทำคีเลชั่นบำบัดในผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulation) ผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ไตบกพร่อง โรคตับ ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในระดับปกติได้ ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด เช่น โรคจีซิกซ์พีดี (G6PD)

การทำคีเลชั่นบำบัดควรทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเท่านั้น โดยสถานที่ในการทำต้องมีอุปกรณ์และยาที่พร้อม ได้แก่ มีเตียงพักหรือเตียงกึ่งนั่งกึ่งนอน มีที่แขวนน้ำเกลือหรือเสาน้ำเกลือ มียาที่เตรียมพร้อมสำหรับแก้ไขภวะที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดจากการทำคีเลชั่นบำบัด เป็นต้น


เขียนบทความและตรวจสอบความถูกต้องโดย ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต HD

มีคำถามเกี่ยวกับ คีเลชั่น? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ