ยาขับปัสสาวะ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทานยา scaled

ยาขับปัสสาวะ สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทานยา

ยาขับปัสสาวะ เป็นยาที่ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำ และเกลือที่ถูกขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ Thiazide (ไธอะไซด์) Loop (ลูป) Potassium-sparing (โพแทสเซียม-สแปริ่งไดยูเรติก) มักใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงโรคอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 กลุ่ม แต่ไม่ได้ช่วยในการรักษาความดันโลหิตสูง ได้แก่ carbonic anhydrase inhibitor (คาร์บอนิก แอนไฮเดรส อินฮิบิเตอ) และ osmotic diuretic (ออสโมติก ไดยูเรติก)

การใช้ยาขับปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะ นิยมใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โดยจะไปช่วยลดปริมาณน้ำในเส้นเลือด จึงช่วยลดความดันโลหิตได้

ส่วนโรคอื่นๆ ที่ใช้ยาขับปัสสาวะในการรักษา คือ ภาวะหัวใจวาย ซึ่งเป็นภาวะที่หัวใจนั้นสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ไม่ดี ทำให้เกิดสารน้ำสะสมในร่างกาย และทำให้เกิดอาการบวม ยาขับปัสสาวะจะช่วยลดสารน้ำส่วนเกินเหล่านี้

ชนิดของยาขับปัสสาวะ

ยาปัสสาวะนั้นมี 3 ชนิดคือ Thiazide, Loop และ Potassium-sparing ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนั้นจะทำให้ร่างกายขับสารน้ำออกมามากขึ้นในรูปแบบปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Thiazide

Thiazide เป็นยาที่มีการใช้มากที่สุด และมักใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ยากลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ลดสารน้ำในร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้หลอดเลือดคลายตัว บางครั้งอาจจะมีการใช้ร่วมกับยาลดความดันกลุ่มอื่นได้

กลไกการออกฤทธิ์

ยาในกลุ่มนี้จะยับยั้งกลไกการดูดกลับเกลือแร่ชนิดโซเดียมและคลอไรด์ที่ท่อไตส่วนปลาย ทำให้ปริมาณน้ำถูกดูดกลับสู่เลือดลดลงด้วย

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น

  • Chlorothiazide (โคลโรไธอะไซด์ )
  • Chlorthalidone (โคลธาลิโดน)
  • Hydrochlorothiazide (ไฮโดรโคลโรไธอะไซด์)
  • Metolazone (เมโทลาโซน)
  • Indapamide (อินดาพาไมด์)

ยาขับปัสสาวะแบบ Loop

ยาขับปัสสาวะในกลุ่มนี้มักจะใช้รักษาภาวะหัวใจวาย

กลไกการออกฤทธิ์

ยาในกลุ่มนี้จะเพิ่มการขับโซเดียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ที่ส่วนท่อไต บริเวณ ลูป ออฟ เฮนเล (loop of henle)

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น

  • Torsemide (ทอร์เซไมด์)
  • Furosemide (ฟูโรซีไมด์)
  • Bumetanide (บูเมทาไนด์)
  • Ethacrynic acid (อีธาไครนิค แอคซิด)

ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Potassium-sparing

ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Potassium-sparing จะช่วยลดสารน้ำที่อยู่ในร่างกาย โดยไม่ทำให้เสียโพแทสเซียมซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย ในขณะที่ยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่นนั้นจะขับโพแทสเซียมออกไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ยากลุ่มนี้จะใช้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงว่า มีระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ เช่น ผู้ที่กำลังรับประทานยาตัวอื่นที่ทำให้โพแทสเซียมลดลง

ยาในกลุ่มนี้ลดความดันได้ไม่ดีเท่ากับยาขับปัสสาวะกลุ่มอื่น ดังนั้นแพทย์อาจจะสั่งยาควบคู่กับยาลดความดันตัวอื่น

ตัวอย่างยาในกลุ่ม Potassium-sparing เช่น

  • Amiloride (อามิโลไรด์)
  • Spironolactone (สไปโรโนแลคโทน)
  • Triamterene (ไทรแอมเทรีน)
  • Eplerenone (อีพลีรีโนน)

ผลข้างเคียงของยาขับปัสสาวะ

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • มีโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
  • โพแทสเซียมในเลือดสูง (สำหรับยากลุ่ม Potassium-sparing)
  • โซเดียมต่ำ
  • ปวดหัว
  • เวียนหัว
  • หิวน้ำ
  • น้ำตาลในเลือดสูง
  • เป็นตะคริว
  • คอเลสเตอรอลสูงขึ้น
  • มีผื่นที่ผิวหนัง
  • โรคเกาต์
  • ท้องเสีย

ผลข้างเคียงที่รุนแรง

ในบางรายอาจจะมีผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่น

  • แพ้ยา
  • ไตวาย
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ

สิ่งที่ต้องทำ

หากมีผลข้างเคียงในระหว่างที่รับประทานยาควรปรึกษาแพทย์ แพทย์อาจจะพิจารณาเปลี่ยนยา หรืออาจจะใช้ยาอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าคุณจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ อย่าหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์

ความเสี่ยงของการใช้ยาขับปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะเป็นยาที่ปลอดภัย แต่ก็อาจจะมีความเสี่ยงได้ หากผู้ป่วยมีโรคประจำตัวอื่นๆ หรือใช้ยาตัวอื่นอยู่ ดังนั้น ก่อนที่จะเริ่มใช้ยาขับปัสสาวะต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้ง ถ้ามีภาวะต่อไปนี้

  • เบาหวาน
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • โรคลูปัส
  • โรคเกาต์
  • ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน
  • ปัญหาเกี่ยวกับไต
  • ขาดน้ำบ่อยๆ

ปฏิกิริยาระหว่างยา

ก่อนที่จะเริ่มใช้ยาตัวใหม่ทุกชนิด ควรแจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาตัวอื่นที่กำลังรับประทานอยู่ ทั้งยาที่แพทย์สั่ง สมุนไพร หรืออาหารเสริม โดยเฉพาะยาที่อาจจะทำปฏิกิริยากับยาขับปัสสาวะ เช่น

  • Cyclosporine (ไซโคลสปอรีน)
  • ยาต้านเศร้าเช่น Fluoxetine (ฟลูออกซิทีน) และ Venlafaxine (เวนลาฟาซีน)
  • ลิเทียม
  • Digoxin (ไดจอกซิน)
  • ยาลดความดันตัวอื่น

Q&A

ยาขับปัสสาวะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้หรือไม่

ยาขับปัสสาวะนั้นจะขับน้ำออกจากร่างกาย ทำให้น้ำหนักลดลง แต่ไม่ได้ลดลงอย่างถาวร ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดน้ำหนักอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ และเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ หากใช้ไม่เหมาะสม อาจทำให้ไตวายตามได้ อย่าใช้ยาขับปัสสาวะเองโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้ยาทุกชนิด เพราะแพทย์สามารถช่วยบอกได้ว่า ยา หรือผลิตภัณฑ์เหล่านั้นปลอดภัยสำหรับคุณหรือไม่


ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. ธวัลรัตน์ ปานแดง

Scroll to Top