อาการคันเป็นอาการที่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวและอาจมีความสัมพันธ์กับโรคบางอย่าง หรือเป็นผลจากการอักเสบของผิวหนังที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาการคันสามารถเกิดขึ้นบนส่วนใดของร่างกายก็ได้ มือ เท้า แขน ขา อก เอว ก้น น่อง ศีรษะ คันในร่มผ้า แบ่งอาการเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ
- อาการคันทั่วร่าง ซึ่งอาจมีความสัมพันธ์กับโรคภายในที่กระตุ้นให้คันหลายจุดพร้อมกัน
- อาการคันเฉพาะจุด ซึ่งจะะบอกสาเหตุได้จากการตรวจผื่น มักเกี่ยวกับโรคผิวหนัง
บางครั้งในอาการคันก็อาจมีผื่น จุด หรือตุ่มเกิดขึ้นที่ผิวหนังร่วมด้วย สำหรับอาการคันที่เกิดขึ้นบ่อยมักเป็นอาการคันแบบระยะสั้นและไม่รุนแรง แต่ปัญหานี้บางครั้งก็เป็นเรื้อรังไม่หายขาด อาจสร้างความรำคาญ และยังทำให้ดูเสียบุคลิกภาพด้วย เช่น คันมือ ทำให้ต้องเกามือ หรือ คันเท้า บางคนก็ก้มไปเกาฝ่าเท้าเป็นระยะ
สารบัญ
สาเหตุของอาการคัน
อาการคันมักเกิดจากภาวะความผิดปกติบางอย่างบนผิวหนัง แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าได้ด้วย สาเหตุของอาการสามารถจำแนกออกได้ดังนี้
1. ภาวะทางผิวหนังที่ทำให้คันได้บ่อย
- โรคผิวหนังอักเสบ ซึ่งทำให้ผิวหนังมีผื่นแดง ขุย และเกิดอาการคันได้
- ลมพิษ (Urticaria) เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อตัวกระตุ้นบางอย่างซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้และกลายเป็นผื่นแดง รวมทั้งรู้สึกคันบนร่างกาย
- หนังศีรษะอักเสบ เป็นการหลุดลอกของผิวหนังบนหนังศีรษะจนก่อให้เกิดอาการคันขึ้น มีสาเหตุจากความชื้น การอักเสบ และการติดเชื้อราบนหนังศีรษะ
2. ภูมิแพ้และปฏิกิริยาบนผิวหนัง
อาการคันยังสามารถเกิดขึ้นได้จากปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นบนผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัสจากภายนอก เช่น
- แพ้เครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม ยาย้อมผม สีแต่งเล็บ
- แพ้โลหะบางชนิด เช่น นิกเกิล (Nickel) โคบอลท์
- แพ้วัสดุประเภทยาง
- เนื้อผ้า หรือเครื่องนุ่งห่มบางประเภท โดยเฉพาะผ้าที่มีสีย้อมและเรซิน (Resins) ประกอบอยู่
- ต้นไม้บางชนิด เช่น ดอกทานตะวัน ดอกคำฝอย ดอกทิวลิป
- ภูมิแพ้อาหาร หรือยาบางประเภท เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) และกลุ่มยาประเภทที่เรียกว่า “โอปิออยด์” (Opioids)
3. ปรสิตและแมลง
- หิด (Scabies mite) เป็นสัตว์ปรสิตที่ที่ทำให้เกิดอาการคันได้มากโดยเฉพาะเวลากลางคืน มักมีผื่นตามง่ามนิ้วมือ หรือบริเวณที่เป็นซอกต่างๆ เช่น สะดือ รักแร้ เป็นต้น เรียกว่า “โรคหิด” (Scabies)
- แมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ยุง ทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้และคันผิวหนังในบริเวณที่โดนกัด
4. การติดเชื้อ
การติดเชื้อโรคบางอย่าง จะมีสัญญาณเตือนในรูปแบบของอาการคันได้ด้วย เช่นโรคและอาการดังต่อไปนี้
- โรคน้ำกัดเท้า (Athlete’s foot) เป็นการติดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียจากน้ำสกปรกที่ก่อให้เกิดอาการคันบริเวณนิ้วเท้า ง่ามเท้า คันเท้า
- โรคกลาก (Ringworm) เป็นการติดเชื้อราที่ก่อให้เกิดผื่นรูปวงแหวนบนผิวหนัง หรืออาจก่อโรคที่หนังศีรษะ และก่อให้เกิดอาการคันหนังศีรษะ
5. ภาวะอื่นๆ
อาการคันอาจเป็นสัญญาณความผิดปกติของภาวะสุขภาพที่อาจส่งผลต่ออวัยวะภายในร่างกาย โดยอาจไม่มีอาการอื่นที่สังเกตได้อีก เช่น
- การทำงานหนักมากเกินไปของต่อมไทรอยด์
- ภาวะร่างกายขาดธาตุเหล็ก
- เซลล์เม็ดเลือดแดงมีความเข้มข้นสูง
- เป็นโรคเกี่ยวกับตับ
นอกจากนี้ อาการคันก็อาจมีสาเหตุมาจากโรคมะเร็งบางชนิดได้ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ปัจจุบันโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปากมดลูก สามารถตรวจคัดกรองเบื้องต้นได้แล้ว
ดังนั้นหากสงสัยว่า ตนเองอาจมีความเสี่ยง หรือมีอาการผิดปกติเข้าข่ายโรคมะเร็ง การไปตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้นก็อาจเป็นทางเลือกที่ดี
6. การตั้งครรภ์และวัยหมดประจำเดือน
อาการคันสามารถเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างการตั้งครรภ์ หรือหลังหมดประจำเดือน โดยอาการคันเรื้อรังของหญิงมีครรภ์จะหายไปเองหลังจากคลอด
ส่วนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อาการคันเป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ภายหลังช่วงหมดประจำเดือนแล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
อาการคันหลายกรณีจะดีขึ้นเองภายในเวลาไม่กี่วัน โดยเฉพาะ คันมือ คันเท้า ที่เกิดได้บ่อยจากการสัมผัสบางอย่าง แต่ควรไปพบแพทย์หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้
- รู้สึกคันรุนแรงขึ้น มีผื่นชัดเจน
- มีอาการคันต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- รู้สึกคันทั่วร่างกายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพได้
การวินิจฉัยอาการ
แพทย์จะสอบถามอาการ รวมถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคัน ตัวอย่างเช่น มีการสัมผัสสารบางอย่างที่ทำให้มีอาการคันหรือไม่ หรือมีอาการคันแบบเป็นๆ หายๆ
หรือในบางกรณี แพทย์อาจมีการขูดตรวจผิวหนังเพื่อไปทดสอบหาสาเหตุต่อไป และหากมีความสงสัยโรคภายในบางอย่าง อาจมีการตรวจเลือด เพิ่มเติมต่อไป
การรักษาอาการคัน
การรักษาอาการคันจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ แต่ก็ยังมีหลายวิธีที่จะสามารถช่วยบรรเทาอาการและเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากการเกาได้ ดังนี้
1. การอาบน้ำ
- ให้อาบน้ำอุ่น หรือเย็น แทนการอาบน้ำร้อน
- ใช้เวลาอาบน้ำน้อยกว่า 20 นาที
- พยายามลดจำนวนครั้งในการอาบน้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการอาบน้ำบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวหนังแห้ง และระคายเคืองได้
- หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หอม เจลอาบน้ำ หรือน้ำหอมดับกลิ่นกาย แต่ให้เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีความหอมซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป หรือจะลองใช้เป็นสบู่สูตรอ่อนโยนต่อผิวก็ได้
- ใช้โลชั่นเพื่อความชุ่มชื้นของผิวหนังหลังจากอาบน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง และควรหลีกเลี่ยงโลชั่นสูตรที่มีการใส่น้ำหอมลงไปด้วย
2. เครื่องนุ่งห่ม
- หลีกเลี่ยงการสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ผิวหนังระคายเคือง เช่น เสื้อขนแกะ หรือเสื้อที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ และเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม
- หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่พอดีตัวจนเกินไป
- ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มชนิดอ่อน เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อผิวหนัง
- สวมเสื้อนอนที่เย็นสบาย เบา และหลวม
3. การใช้ยา
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง เมื่อมีภาวะผิวแห้งและแตก เช่น เจลเพิ่มความชุ่มชื้น โลชั่น
- ใช้ครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของเมนทอล (Menthol) หรือส่วนประกอบช่วยต้านอาการคันอย่างโครทามิตัน (Crotamiton)
- ใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดอ่อนกับบริเวณผิวหนังอักเสบ แต่ควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์
- ยาเม็ดต้านฮิสทามีน (Antihistamine) สามารถช่วยควบคุมอาการคันที่เกิดจากปฏิกิริยาแพ้ได้ แต่ควรต้องตรวจสอบกับแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาตัวนี้ว่า เหมาะสมกับเราหรือไม่
- ยาต้านฮิสทามีนบางประเภทอาจมีผลข้างเคียงทำให้ง่วงนอน ต้องระมัดระวังในการใช้ยาชนิดนี้หากต้องขับรถ หรือใช้งานเครื่องจักรหนักใดๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดที่ไม่ค่อยง่วงแทน
- หากคุณมีอาการคันบริเวณที่มีขนปกคลุม เช่น หนังศีรษะ ควรใช้โลชั่น หรือน้ำมันที่ออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการคันกับบริเวณดังกล่าวโดยเฉพาะ
อาการคันเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หากเกิดขึ้นก็สามารถบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง หากอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้นแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
หรือหากสงสัยว่า อาการค้นเกิดจากอาการภูมิแพ้ ลองหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นนั้นๆ ดูก่อน หากยังไม่พบ หรือไม่แน่ใจ ปัจจุบันโรงพยาบาลหลายแห่งก็มีบริการตรวจภูมิแพ้และภาวะแพ้แล้วเช่นกัน
บทความแนะนำ
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. นันทิดา สาลักษณ