วิธีเลิกยาเสพติดให้สำเร็จ

วิธีเลิกยาเสพติดให้สำเร็จ

ถ้าคนใกล้ชิดของคุณกำลังติดยาเสพติด คุณอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คนคนนั้นผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้ บทความนี้จะพามารู้จักกับอาการติดยาเสพติด วิธีรักษาอาการติดยา รวมถึงขั้นตอนในการบำบัดคนที่ติดยาเสพติดด้วย    

สารบัญ

การเสพยาเสพติด และการติดยาเสพติด ต่างกันอย่างไร 

การเสพยา หมายถึง การใช้ยา ไม่ว่าจะเป็นยาที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ตาม
การติดยา หมายถึง การใช้ยาเสพติดที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกายอย่างรุนแรง ทำให้ผู้เสพมีอาการติดยา หรือต้องการเสพยาตลอดเวลา

การเสพยาเสพติด คืออะไร 

การเสพยา หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้หมายความว่าจะมีอาการเสพติดเสมอไป เช่น คนคนหนึ่งสูบกัญชา 3–4 ครั้ง ก็ไม่ได้แปลว่าเสพติดกัญชา แต่ถ้ายังคงสูบอยู่เรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่จะทำให้กลายเป็นคนติดกัญชาได้

ในความเป็นจริง คนเราจะเสพติดสิ่งใดก็ได้ ไม่ใช่แค่ยาเสพติดอย่างเดียว สารอื่น ๆ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ กาว หรือยาอื่น ๆ ก็สามารถทำให้เกิดพฤติกรรมการเสพติดได้เช่นกัน

อีกทั้งสารบางประเภททำให้ผู้เสพเกิดอาการติดยาอย่างรุนแรงได้ แม้จะเป็นการลอง หรือเสพเพียงครั้งเดียวก็ตาม เช่น โคเคน เฮโรอีน 

อาการติดยา เป็นอย่างไร  

อาการติดยา คือการที่ผู้เสพยาควบคุมตัวเองให้ห่างจากยาไม่ได้ อยากเสพยาตลอด เช่น คนที่เสพติดโคเคน ก็จะหยุดใช้โคเคนไม่ได้ และยิ่งอยากใช้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ 

การติดยานั้นส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ดังนี้

  • เกิดความผิดปกติทางจิตและอารมณ์ ฤทธิ์ของยาเสพติดหลายชนิดก่อให้เกิดความผิดปกติภายในสมองและระบบประสาทของผู้เสพ เช่น เห็นภาพหลอน มีกำลังมากมายมหาศาล ตื่นตัวตลอดเวลา หรืออาจกลายเป็นผู้มีความผิดปกติทางจิตได้
  • อาการลงแดง เป็นอาการทางร่างกายที่ผู้เสพแสดงออกมาเมื่อขาดยา หรือต้องการเลิกยา เช่น ท้องร่วงรุนแรง ตัวสั่น รู้สึกหวาดกลัว หรือเห็นภาพหลอน
  • อาการดื้อยา เป็นอาการที่ทำให้ผู้เสพต้องการยาในปริมาณที่มากขึ้น และมีจำนวนครั้งในการเสพถี่ขึ้นด้วย
  • ก่ออาชญากรรม เมื่อเงินไม่พอ ผู้เสพจึงมักก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินมาซื้อยา บางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นฆ่าชิงทรัพย์ได้
  • ระบบการทำงานภายในร่างกายเกิดความผิดปกติ ยาเสพติดจะเข้าไปก่อกวนและทำลายระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายหลายด้าน เช่น ทำให้ความดันโลหิตสูง มีไข้ เลือดออกในสมอง ตาลาย ง่วงซึม ท้องผูก มองเห็น และได้ยินผิดเพี้ยนไป 

สัญญาณของการติดยาเสพติด

สัญญาณที่บ่งบอกได้ชัดเจนที่สุดว่ากำลังติดยาเสพติดอยู่ คือการที่ต้องเสพยานั้น ๆ อยู่เป็นประจำอย่างขาดไม่ได้ และก็ยังมีสัญญาณอื่น ๆ อีกเหมือนกัน เช่น 

พฤติกรรมทางจิต

  • ไม่สุงสิงกับใคร แยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน หรือครอบครัว
  • ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหายาเสพติด
  • อารมณ์แปรปรวน ก้าวร้าว วิตกกังวล ซึมเศร้า
  • เลิกทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นประจำ เช่น เล่นกีฬา เล่นดนตรี หรืองานอดิเรกต่าง ๆ
  • มีปัญหาเรื่องการเรียนหรือการทำงาน เช่น ขาดเรียน ผลการทำงานแย่ลง 
  • เมื่อมีปัญหา หรือเกิดความเครียด ก็มักจะหาทางออกด้วยการเสพยา
  • มีพฤติกรรมการลักขโมย เพื่อนำเงินไปซื้อยาเสพติด
  • เลิกยาหรือเลิกดื่มสุราไม่ได้ แม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
  • หันไปคบเพื่อนกลุ่มที่เสพยาด้วยกัน หรือมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงที่จะเสพยา

พฤติกรรมภายนอก 

  • มีอาการตัวสั่นหรือป่วย เมื่อพยายามหยุดใช้ยาเสพติด
  • พฤติกรรมการกินอาการเปลี่ยนไป ทำให้น้ำหนักลดลง หรือเพิ่มขึ้นผิดปกติ
  • ต้องเสพยาในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อให้เกิดอาการมึนเมา และรู้สึกดีขึ้น
  • พฤติกรรมการนอนเปลี่ยนแปลง

อยากเลิกเสพยา ต้องทำอย่างไร

การเลิกเสพยาให้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยานั้นเกี่ยวข้องกับระบบอวัยวะภายในร่างกาย แม้ว่าจะอยากเลิกเสพแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายยังหยุดเสพไม่ได้ โอกาสเลิกยาก็ยิ่งยาก 

การจะเลิกยาให้ได้อย่างเด็ดขาด คนที่ไว้ใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิท คนรัก สมาชิกในครอบครัว หรือแพทย์ประจำตัว 

ถ้าไม่กล้าคุยกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง แนะนำให้เลือกคุยกับผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้ หรือปรึกษานักบำบัดยาเสพติดไปเลย เพื่อจะได้รับแนวทางในการเลิกยาเสพติดที่ถูกต้อง 

อีกสิ่งสำคัญที่ผู้เสพติดยารวมทั้งคนใกล้ชิดต้องเข้าใจ คือ การที่ผู้ติดยาหยุดเสพยาไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเขาอ่อนแอ และความพยายามในการเลิกยานั้นเริ่มใหม่ได้เสมอ 

เคล็ดลับในการเลิกยาเสพติด

1. บอกเพื่อน ๆ ว่า กำลังพยายามเลิกเสพยาอยู่ 

เพื่อนที่หวังดีจริง ๆ จะเข้าใจ เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ และจะสนับสนุนให้คุณเลิกยาเสพติดด้วย รวมทั้งจะสนับสนุนให้คุณเลิกยาเสพติดให้ได้ 

แต่นั่นหมายความว่า คุณจะคงต้องเลิกคบกลุ่มเพื่อนที่เสพยา และเข้ากลุ่มเพื่อนใหม่ที่สนับสนุนช่วยเหลือ และเห็นอกเห็นใจคุณอย่างแท้จริง

2. ปรึกษาเพื่อน หรือคนในครอบครัวเมื่อต้องการพวกเขา

คุณไม่ควรแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยลำพัง เพราะยังมีคนรอบตัวคอยเป็นกำลังใจ พร้อมเสมอที่จะช่วยคุณให้พ้นจากการติดยา บางครั้งคุณอาจต้องโทรศัพท์หาเพื่อน หรือคุยกับใครสักคนกลางดึกในขณะที่รู้สึกต้องการเสพยาขึ้นมา

ก่อนที่จะเริ่มขั้นตอนการเลิกยาเสพติด คุณอาจบอกคนที่คุณไว้ใจ หรือคนใกล้ชิด เพื่อให้เขาเตรียมรับมือกับอาการลงแดง อาการทางประสาท หรือผลกระทบเกี่ยวกับจิตใจที่จะเกิดขึ้นระหว่างพยายามเลิกยา

3. ควรระลึกไว้เสมอว่า การติดยา ไม่ได้แปลว่าเป็นคนไม่ดี

หากคุณกำลังนั่งคิดถึงวันที่ตกเป็นทาสของยาเสพติดจนทำให้คุณรู้สึกแย่ แนะนำให้รีบพูดคุย หรือปรึกษาใครสักคน คุณอาจระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรน่าอาย

การบอกให้คนอื่นรู้ถึงความรู้สึกจะช่วยให้คุณยืนหยัดกับความพยายาม และท้ายสุดคุณก็จะสามารถเลิกยาเสพติดได้อย่างถาวร 

นอกจากนี้ คนรอบตัวอาจเข้าใจในตัวคุณมากขึ้นด้วยว่า คุณรู้สึกอย่างไร แล้วมีปัญหาอะไรที่ทำให้คุณต้องหันไปพึ่งการเสพยา

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการเสพยา

หากคุณอยู่ระหว่างการเลิกยาเสพติด ให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการถูกชักชวนไปเสพยาได้ง่าย หรืออาจถูกบังคับให้เสพยาอีกครั้ง เช่น การอยู่ในสถานบันเทิง หรืองานปาร์ตีตอนกลางคืน 

ถ้าจำเป็นต้องไปจริง ๆ ให้แจ้งพ่อแม่ หรือคนใกล้ชิดให้รับทราบไว้ เพราะเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ จะได้มีคนพาคุณออกไปจากสถานการณ์ดังกล่าวทันที

ขั้นตอนการบำบัดรักษาผู้ที่ติดยาเสพติด

ถ้าต้องการหายขาดจากการติดยาเสพติด สามารถเข้าร่วมโครงการบำบัดยาเสพติดได้ตามสถานพยาบาลต่าง ๆ 

โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 

1. ขั้นเตรียมการ (Pre–admission)

เป็นขั้นตอนการสัมภาษณ์ผู้ที่ติดยา และครอบครัว เพื่อเข้าใจถึงภูมิหลังและการใช้ชีวิตของผู้ติดยามากขึ้น และช่วยกระตุ้นให้ผู้ติดยามีความตั้งใจในการรักษา 

นอกจากนี้ ยังต้องมีการตรวจร่างกายเบื้องต้น การเอกซเรย์ และการตรวจปัสสาวะด้วย 

2. ขั้นถอนพิษยา (Detoxification)

เป็นการบำบัดร่างกายที่ยังคงอยู่ในสภาวะติดยาเสพติดอยู่ โดยอาจใช้ยาในการรักษาด้วย เช่น ยาเมทาโดน (Methadone) หรือยาสมุนไพร

แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ 

  • การถอนพิษแบบผู้ป่วยใน ให้ผู้ติดยานอนค้างคืนที่โรงพยาบาล เพื่อบำบัดอาการติดยาเสพติด และรักษาอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ร่วมด้วย
  • การถอนพิษแบบผู้ป่วยนอก สำหรับการบำบัดแบบนี้ ผู้ติดยาไม่ต้องนอนค้างที่โรงพยาบาล แต่จะให้ยากลับไปกินที่บ้านตามกำหนด เมื่อถึงเวลานัด ก็เดินทางมาบำบัดที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

3. ขั้นการฟื้นฟูสมรรถภาพ (Rehabilitation)

หลังจากบำบัดอาการทางกายแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการปรับสภาพจิตใจของผู้ติดยาให้เข้มแข็ง เช่น ปรับบุคลิกภาพ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อบำบัดจิตใจ

โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้ติดยารู้จักรับผิดชอบตนเอง รู้จักแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตช และฝึกควบคุมอารมณ์ให้ได้

นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ติดยาได้แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้ที่มีประสบการณ์เหมือน ๆ กันด้วย 

4. ขั้นการติดตามดูแล (After-Care)

เป็นการติดตามอาการผู้ติดยาหลังบำบัด เพื่อไม่ให้กลับไปติดยาเสพติดซ้ำอีกครั้ง รวมถึงให้กำลังใจ และให้คำปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์

นอกจากนี้ อาจมีการไปเยี่ยมเยียนหรือนัดพบ เพื่อตรวจดูอาการผู้เสพติด โดยมีการซักถาม ใช้แบบสอบถาม และต้องตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดด้วย

การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการอยากยา ครอบครัวทำอะไรได้บ้าง

ก่อนจะช่วยเหลือผู้ที่มีอาการอยากยา จำเป็นต้องทราบก่อนว่า การเลิกยานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ความเข้าใจในตัวผู้ที่ติดยาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ 

การคอยช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ที่ติดยาในฐานะคนในครอบครัวถือเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ครอบครัวทำได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้ 

  • ต้องเข้าใจผู้ติดยา
  • ช่วยหลีกเลี่ยงไม่ให้พบตัวกระตุ้น
  • สังเกตและเฝ้าระวังอาการที่เกิดขึ้น เช่น อาการอยากยา
  • ไม่ตำหนิผู้ป่วยเมื่อมีอาการอยากยา
  • อาจหากิจกรรมให้ทำ หรือทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
  • ให้กำลังใจผู้ป่วย และอยู่เป็นเพื่อนขณะที่เกิดอาการ
  • ชื่นชมผู้ป่วยเมื่อเขาต่อสู้กับอาการอยากยาได้
  • พาผู้ป่วยไปรักษา เพื่อบรรเทาอาการทรมานของผู้ป่วย และช่วยไม่ให้เสพอีกต่อไป 

สำหรับผู้ที่เคยติดยาเสพติด ถ้ามีความคิดที่จะกลับไปใช้ยาอีกครั้ง แนะนำให้ลองถามตัวเองดี ๆ อีกสักครั้งว่า “ทำไมถึงต้องกลับไปใช้ยาอีก” 

และทางที่ดี รีบหาคนปรึกษา และช่วยเหลือจะดีกว่า อาจเป็นคนที่เคยอยู่ข้าง ๆ คุณตอนที่เลิกยาครั้งก่อนก็ได้ และให้จำไว้เสมอว่า ช่วงเวลาที่เลิกยามันยากและทรมานแค่ไหน

ที่สำคัญ อย่าอายที่จะขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เพราะยาเสพติดมีอันตรายถึงชีวิต และการกลับไปเสพยาอีกครั้ง อาจแลกด้วยชีวิตที่ไม่อาจคืนกลับมาได้


ตรวจสอบความถูกต้องโดย ภกญ. สุภาดา ฟองอาภา

Scroll to Top