โรคไข้เลือดออกเป็นโรคพบบ่อยในประเทศไทย เกิดได้กับคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่ยุงลายแพร่พันธุ์ หลายคนเลยอาจมีคำถามว่า หากเราโดนยุงลายกัดเข้าแล้ว จะป่วยเป็นไข้เลือดออกเลยไหม รู้ได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบมาฝาก!
สารบัญ
รู้สาเหตุของโรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus: DENV) มีทั้งหมดอยู่ 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 ติดต่อได้โดยยุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค (Aedes mosquitoes) ได้แก่ ยุงลายในบ้าน (Aedes aegypti) และยุงลายสวน (Aedes albopictus)
ยุงกัดเยอะแค่ไหนถึงเป็นไข้เลือดออก
เมื่อโดนยุงลายที่มีเชื้อไวรัสกัดหรือดูดเลือด เราอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเดงกี จนอาจป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกได้ แต่การจะติดเชื้อหรือป่วยเป็นไข้เลือดออก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
- ปริมาณยุงลาย หากมีจำนวนมาก โอกาสถูกยุงกัดก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- การติดเชื้อของยุงลาย ยุงลายที่แพร่เชื้อได้ต้องเคยกัดคนที่มีเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อน ทำให้การระบาดเกิดได้ง่ายในพื้นที่ที่มีคนป่วยอยู่แล้ว
- จำนวนการโดนกัด หากถูกยุงติดเชื้อกัดเพียงครั้งเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อได้ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นมากหากถูกกัดบ่อยและหลายตัว
- ภูมิคุ้มกันของร่างกาย คนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือเคยติดเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์อื่นมาก่อน มีแนวโน้มจะเป็นโรคไข้เลือดออกที่รุนแรงขึ้น
อาการไข้เลือดออกเป็นแบบไหน
อาการของโรคไข้เลือดออกจะต่างกันไปตามความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่ 80–90% อาการไม่รุนแรง บางคนอาจมีไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว มีอาการคล้ายไข้หวัด มักไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก มีผื่นแดงหรือจุดเลือดออกตามตัว
ทั้งนี้ อาการของโรคไข้เลือดออก แบ่งตามการดำเนินโรคได้เป็น 3 ระยะ คือ
1. ระยะไข้ (Febrile phase)
มีไข้สูงแบบเฉียบพลันเกิน 38.5 องศาเซลเซียส ประมาณ 2–7 วัน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น อาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดกระดูก ปวดเบ้าตา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา และมีผื่นแดงคันตามตัว
2. ระยะวิกฤต (Critical phase)
ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่อาการอื่นไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เช่น ปวดท้องรุนแรง อาเจียนต่อเนื่อง หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือเท้าเย็น ตัวเย็น กระหายน้ำ รวมถึงมีภาวะเลือดออกผิดปกติจากเกล็ดเลือดต่ำ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน และอุจจาระเป็นเลือด
ระยะวิกฤตเป็นช่วงอันตราย เพราะอาจเกิดการรั่วไหลของพลาสมา ทำให้ความดันโลหิตต่ำรุนแรง มีความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกในอวัยวะภายในหรือเกิดภาวะช็อก อาจมีอาการรุนเเรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
3. ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
อาการทั่วไปจะดีขึ้น ไข้ลดลง อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ เริ่มอยากรับประทานอาหาร ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะออกมากขึ้น แต่อาจพบผื่นแดงเป็นวงสีขาวตามร่างกายอยู่บ้าง ระยะนี้เป็นระยะปลอดภัย ร่างกายกำลังหายจากโรค
สงสัยว่าเป็นไข้เลือดออกทำอย่างไร
อาการไข้เลือดออกระยะแรกมักคล้ายกับอาการโรคติดเชื้ออื่น ๆ จึงอาจเกิดความสับสน หรือไม่ทราบว่ากำลังติดเชื้อไข้เลือด หากสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก ควรรีบพบเเพทย์ เพื่อตรวจร่างกายเเละวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยเฉพาะมีอาการข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
- ไข้ลงเร็ว แต่อาการอื่นไม่ดีขึ้น ยังคงมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง กระสับกระส่าย หรือซึม
- ปวดท้องรุนแรง
- อาเจียนเกิน 3 ครั้งต่อวัน
- เวียนหัว หน้ามืด มือเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเลยในช่วง 4–6 ชั่วโมง
- เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีดำ อุจจาระสีดำ ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ
เป็นไข้เลือดออก ดูแลตัวเองที่บ้านได้ไหม
กรณีไม่มีอาการรุนเเรงและเป็นการติดเชื้อครั้งเเรก ส่วนใหญ่จะหายได้ภายใน 7–14 วัน โดยไม่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ควรเฝ้าระวังอาการรุนแรงที่มักเกิดหลังไข้ลงในช่วง 1 สัปดาห์แรก (ระยะวิกฤต)
คนที่เป็นไข้เลือดออกแล้วอาการไม่รุนแรง สามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อฟื้นฟูร่างกายและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย
- ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการขาดน้ำ สามารถจิบน้ำเกลือแร่ ORS ร่วมด้วย
- ถ้ามีไข้ ให้เช็ดตัวลดไข้ อาจรับประทานยาพาราเซตามอลหรือยาลดไข้อื่น ๆ ตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ ห้ามใช้ยากลุ่ม NSIADs เด็ดขาด เช่น ยาแอสไพริน หรือยาไอบูโพรเฟน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเลือดออก ทำให้อาการรุนแรงขึ้น
- ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด
- งดอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีดำ แดง
ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเกิดอาการรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออก
การป้องกันโรคไข้เลือดออกควรระมัดระวังไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด เช่น สวมเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้มิดชิด แขนยาวขายาว ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงกัด โดยเลือกที่มีส่วนผสมสารป้องกันยุงหรือสารไล่ยุง (DEET) ติดมุ้งลวดตามประตูหน้าต่างกันยุงเข้า
นอกจากนี้ ควรปรับสภาพแวดล้อมรอบบ้านให้ปลอดยุงลายมากขึ้น โดยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง กำจัดน้ำขังในภาชนะต่าง ๆ รอบบ้าน เช่น กระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า ภาชนะที่ไม่ได้ใช้ รวมถึงใช้สารเคมีกำจัดยุงในพื้นที่ที่มียุงชุกชุม หรือใช้เครื่องดักยุง
อีกสิ่งที่สำคัญ คือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก สามารถป้องกันเชื้อไวรัสเดงกีได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ซึ่งการฉีดวัคซีนไข้เลือดออกจะช่วยลดการติดเชื้อไข้เลือดออกแล้วเกิดอาการรุนแรง ลดโอกาสที่ต้องนอนโรงพยาบาล และลดอัตราการเสียชีวิต
โรคไข้เลือดออกอยู่ใกล้ตัว เป็นโรคที่คนไทยควรเฝ้าระวัง การวางแผนป้องกันโรค ทั้งการดูแลตัวเอง การดูแลสภาพแวดล้อมรอบบ้านไม่ให้เอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุงลาย และรับวัคซีนไข้เลือดออก จะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้
ใคร ๆ ก็เป็นไข้เลือดออกได้ ป้องกันตั้งแต่วันนี้ เช็กแพ็กเกจวัคซีนไข้เลือดออก จองโปร พร้อมเปรียบเทียบราคาได้ที่ HDmall.co.th