สมรรถภาพทางเพศเสื่อมเกิดจากอะไร เมื่อไหร่เรียกผิดปกติ ป้องกันได้ไหม ต้องกินอะไร ห้ามกินอะไร ไวอากร้าช่วยได้ไหม นกเขาไม่ขันเพราะอะไร รักษาได้ไหม มีวิธีอะไรบ้าง ไม่รักษาจะเป็นอะไรไหม ในบทความนี้เรารวบรวม 15 ปัญหาเกี่ยวกับน้องชายที่คุณผู้ชายควรรู้มาไว้ให้แล้ว
สารบัญ
- 1. สมรรถภาพทางเพศเสื่อมคืออะไร
- 2. สมรรถภาพทางเพศเสื่อมเกิดจากอะไร
- 3. เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าผิดปกติ
- 4. ป้องกันสมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ไหม
- 5. อาหารมีผลต่อสมรรถภาพทางเพศไหม
- 6. มีอาหารอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง
- 7. ไวอากร้าช่วยได้จริงไหม
- 8. นกเขาไม่ขันเพราะความเครียดจริงไหม
- 9. การช่วยตัวเองบ่อยเกินไปทำให้นกเขาไม่ขันจริงไหม
- 10. สามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม
- 11. วิธีรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีอะไรบ้าง
- 12. การใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริมช่วยได้หรือไม่
- 13. หากไม่รักษา จะเกิดผลเสียอะไรไหม
- 14. ผู้ชายอายุน้อยเป็นสมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ไหม
- 15. การออกกำลังกายมีผลต่อการแข็งตัวไหม
1. สมรรถภาพทางเพศเสื่อมคืออะไร
ตอบ: สมรรถภาพทางเพศเสื่อม หรือที่เรียกว่า Erectile Dysfunction (ED) คือภาวะที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้ หรือแข็งตัวได้ไม่พอที่จะมีเพศสัมพันธ์อย่างสมบูรณ์ เป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป แต่อาจเกิดในวัยหนุ่มได้เช่นกัน
อาการนี้ส่งผลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความเครียด หรือความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ได้
2. สมรรถภาพทางเพศเสื่อมเกิดจากอะไร
ตอบ: สาเหตุของสมรรถภาพทางเพศเสื่อม แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลักคือ
- สาเหตุทางร่างกาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ หรือปัญหาหลอดเลือด
- สาเหตุทางจิตใจ เช่น ความเครียด วิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นที่อาจมีผลร่วม เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติด หรือยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียง
3. เมื่อไหร่ถึงเรียกว่าผิดปกติ
ตอบ: โดยทั่วไป ผู้ชายอาจประสบปัญหาการแข็งตัวของอวัยวะเพศชั่วคราวได้เป็นครั้งคราว เช่น ในช่วงที่เครียด พักผ่อนไม่พอ หรือดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน
แต่หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 3 เดือนขึ้นไป และส่งผลต่อความพึงพอใจทางเพศหรือความสัมพันธ์กับคู่รัก นั่นคือสัญญาณสำคัญว่าอาจกำลังเผชิญกับภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
แพทย์จะพิจารณาว่าอาการผิดปกติหรือไม่ จากเกณฑ์ดังนี้
- ไม่สามารถแข็งตัวได้เลยเมื่อมีสิ่งเร้าทางเพศ
- แข็งตัวได้บ้างแต่ไม่พอสำหรับการมีเพศสัมพันธ์
- แข็งตัวแล้วอ่อนตัวลงเร็วเกินไป ไม่สามารถคงสภาพได้จนจบกิจกรรมทางเพศ
- มีปัญหาเรื่องความต้องการทางเพศ (Libido) ร่วมด้วยหรือไม่
อาการเหล่านี้ไม่เพียงกระทบคุณภาพชีวิตทางเพศ แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคทางกายหรือจิตใจ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะฮอร์โมนต่ำ ภาวะซึมเศร้า หรือแม้แต่โรคหัวใจ เพราะหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศมีขนาดเล็ก การที่มันเริ่มมีปัญหาก่อนอาจสะท้อนว่าหลอดเลือดในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพแล้วเช่นกัน
4. ป้องกันสมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ไหม
ตอบ: สามารถป้องกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนแล้วค่อยรักษา เพราะสมรรถภาพทางเพศของผู้ชายมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพโดยรวมของหลอดเลือด ระบบประสาท และฮอร์โมน ซึ่งล้วนได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ดังนั้น หากเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะนี้ได้อย่างมาก
สิ่งที่ควรทำมีดังนี้
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาเสพติด
- จัดการความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ
5. อาหารมีผลต่อสมรรถภาพทางเพศไหม
ตอบ: มีผลอย่างมาก สิ่งที่กินในแต่ละวันสามารถส่งผลโดยตรงต่อระบบไหลเวียนโลหิต ฮอร์โมน และสุขภาพหลอดเลือด ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีบทบาทต่อการแข็งตัวและความต้องการทางเพศ
อาหารที่แนะนำ มีดังนี้
- ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า บร็อกโคลี อุดมด้วยไนเตรตธรรมชาติ ช่วยขยายหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนโลหิต
- ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ มีสารฟลาโวนอยด์และแอนตี้ออกซิแดนต์ ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือด
- ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงหลอดเลือดแข็ง
- ปลาที่มีโอเมก้า 3 สูง เช่น แซลมอน ซาร์ดีน แมคเคอเรล ไขมันดีจากปลาเหล่านี้ช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ เพิ่มการไหลเวียนโลหิต และส่งเสริมสมดุลฮอร์โมนเพศชาย
6. มีอาหารอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง
ตอบ: อาหารบางชนิดมีส่วนทำลายหลอดเลือด หรือรบกวนสมดุลของฮอร์โมน ส่งผลให้เกิดภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
อาหารหรือเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
-
- ของทอด อาหารมันจัด เช่น ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ หรือขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันเหล่านี้จะไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไปยังอวัยวะเพศไม่ดีพอ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก แม้บางคนอาจรู้สึกผ่อนคลายหลังดื่ม แต่หากดื่มต่อเนื่องหรือเกิน 2 แก้วต่อวัน จะไปรบกวนระบบประสาทที่ควบคุมการแข็งตัว และยังลดระดับฮอร์โมนเพศชายในระยะยาว
- เครื่องดื่มหวาน น้ำอัดลม ชานม ไอศกรีม อาหารที่มีน้ำตาลสูงทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเบาหวาน หนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม นอกจากนี้ น้ำตาลยังเร่งกระบวนการอักเสบและทำลายผนังหลอดเลือดโดยตรง
- เนื้อแดงแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน แฮม มีทั้งไขมันอิ่มตัวและสารกันบูดหลายชนิด ซึ่งหากรับประทานบ่อยจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันสูง และหลอดเลือดเสื่อม
7. ไวอากร้าช่วยได้จริงไหม
ตอบ: ไวอากร้า (Viagra) หรือกลุ่มยาที่ช่วยขยายหลอดเลือดในอวัยวะเพศ เช่น Sildenafil ช่วยให้น้องชายแข็งตัวได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ใช่การรักษาแบบถาวร และไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคหัวใจหรือกินยากลุ่มไนเตรท
ควรใช้ยานี้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพราะการใช้เองโดยไม่รู้ต้นเหตุ อาจทำให้พลาดการวินิจฉัยโรคที่สำคัญ เช่น เบาหวาน หรือโรคหัวใจ
8. นกเขาไม่ขันเพราะความเครียดจริงไหม
ตอบ: ความเครียด ความกังวล และภาวะซึมเศร้าเป็นสาเหตุหลักทางจิตใจของภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม เพราะกระบวนการแข็งตัวของอวัยวะเพศต้องอาศัยการทำงานที่ประสานกันของสมอง ระบบประสาท ฮอร์โมน และหลอดเลือด เมื่อเกิดความเครียดหรือภาวะอารมณ์ลบ สมองจะหลั่ง ฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล ซึ่งไปกดการผลิต ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ที่จำเป็นต่อการเกิดอารมณ์ทางเพศ
นอกจากนี้ ความเครียดยังไปกระตุ้น ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) ซึ่งเป็นระบบที่มักทำงานเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ทำให้หลอดเลือดหดตัวและเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศได้ไม่ดี ส่งผลให้การแข็งตัวบกพร่อง
9. การช่วยตัวเองบ่อยเกินไปทำให้นกเขาไม่ขันจริงไหม
ตอบ: ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชัดเจนว่า การช่วยตัวเองเป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม
แต่ในบางกรณี ความเครียดหรือความรู้สึกผิดเกี่ยวกับการช่วยตัวเอง หรือการใช้สื่อลามกเกินขอบเขต อาจส่งผลทางจิตใจที่ทำให้เกิดปัญหาการแข็งตัวได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่รู้สึกผิดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมของตัวเอง อาจเกิดความเครียดสะสมที่ส่งผลต่อระบบประสาทและสมรรถภาพทางเพศ
10. สามารถรักษาให้หายขาดได้ไหม
ตอบ: ในหลายกรณีรักษาให้หายหรือดีขึ้นได้ หากสามารถระบุและแก้ไขสาเหตุได้ตรงจุด
- ถ้าเป็นปัญหาทางกาย เช่น โรคเรื้อรัง (เบาหวาน ความดัน) หรือผลข้างเคียงจากยา การควบคุมโรคและปรับยาอาจช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพได้
- หากเกิดจากสาเหตุทางจิตใจ การบำบัดจิตใจและปรับความสัมพันธ์จะช่วยแก้ปัญหาได้
- นวัตกรรมใหม่ เช่น Shockwave Therapy หรือกายภาพบำบัด ก็ช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นตัว
- ในกรณีรุนแรง อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น ใส่อุปกรณ์เสริมในอวัยวะเพศ
11. วิธีรักษาโรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีอะไรบ้าง
ตอบ: แนวทางการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับสาเหตุและความรุนแรงของอาการ โดยแพทย์จะพิจารณาแบบเฉพาะราย
- ปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพ เช่น เลิกบุหรี่ ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย
- ใช้ยากลุ่ม PDE5 inhibitors เช่น Sildenafil
- ฉีดยาหรือสอดยาเฉพาะที่บริเวณอวัยวะเพศ สำหรับผู้ไม่ตอบสนองต่อยาเม็ด
- เสริมฮอร์โมนเพศชายในกรณีระดับฮอร์โมนต่ำ
- รักษาทางจิตวิทยา เมื่อมีสาเหตุจากความเครียดหรือจิตใจ
- ใช้นวัตกรรมใหม่ เช่น PRP หรือ Shockwave Therapy
- ผ่าตัดใส่อุปกรณ์เสริม (Penile Prosthesis) เป็นทางเลือกสุดท้าย
12. การใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริมช่วยได้หรือไม่
ตอบ: สมุนไพรบางชนิด เช่น โสมแดง หรือ Maca มีงานวิจัยบางส่วนที่แสดงว่าสามารถช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในบางรายได้ โดยเชื่อว่าสมุนไพรเหล่านี้ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดและเพิ่มพลังงาน แต่ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและยังไม่มีข้อมูลรองรับในวงกว้างเหมือนยาที่แพทย์สั่ง
อย่างไรก็ตาม ควรระวังอาหารเสริมที่โฆษณาเกินจริงหรือไม่มีการรับรองจาก อย. เพราะบางครั้งอาจมีสารปนเปื้อน เช่น ยาที่มีฤทธิ์รุนแรงต่อหัวใจหรือหลอดเลือดซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว การใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริมควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
13. หากไม่รักษา จะเกิดผลเสียอะไรไหม
ตอบ: หากปล่อยภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อมไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักอาจแย่ลง เพราะปัญหานี้ส่งผลต่อความใกล้ชิดและความมั่นใจในการสื่อสารเรื่องเพศ นำไปสู่ความเครียดสะสม และอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้
นอกจากนี้ภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อมยังเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายที่ซ่อนอยู่ เช่น โรคหลอดเลือดตีบ หรือเบาหวาน ซึ่งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นและเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมาได้ เช่น โรคหัวใจหรือไตวาย
ไม่เพียงเท่านั้น การไม่รักษายังส่งผลให้ผู้ชายเกิดความรู้สึกเสียความมั่นใจในตัวเองและความวิตกกังวลเรื้อรัง ซึ่งยากต่อการฟื้นฟูภายหลัง ดังนั้น การพบแพทย์และเริ่มรักษาตั้งแต่ต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
14. ผู้ชายอายุน้อยเป็นสมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้ไหม
ตอบ: ภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อมไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ชายวัยกลางคนหรือสูงอายุ ผู้ชายในช่วงอายุ 20-30 ปี ก็สามารถเกิดปัญหานี้ได้ โดยเฉพาะถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ใช้ยาเสพติด หรือมีความเครียดสะสมจากการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว
ในกลุ่มนี้สาเหตุส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องของจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด ความกลัวว่าจะไม่สามารถแข็งตัวได้ หรือปัญหาความสัมพันธ์ การรักษาจึงควรเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดการใช้สารเสพติด ฝึกผ่อนคลาย และดูแลสุขภาพจิตก่อน
นอกจากนี้ การพูดคุยกับแพทย์หรือนักบำบัดทางจิตก็มีประโยชน์มาก เพราะช่วยแก้ไขปัญหาต้นเหตุได้โดยไม่ต้องพึ่งพายากระตุ้นเสมอไป
15. การออกกำลังกายมีผลต่อการแข็งตัวไหม
ตอบ: การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณอวัยวะเพศ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการแข็งตัว นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยลดระดับความเครียด ปรับสมดุลฮอร์โมน เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง และช่วยควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาสมรรถภาพทางเพศเป็นเรื่องที่ผู้ชายทุกคนควรรู้และไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะกระทบชีวิตคู่แล้ว ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเรื้อรังในร่างกาย การหมั่นสังเกตตัวเอง รักษาสุขภาพให้ดี และกล้าปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ คือสิ่งสำคัญที่จะทำให้ความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง
ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อมใช่ไหม? ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาภาวะสมรรถภาพทางเพศเสื่อม จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย