ฝีต่อมบาร์โธลิน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ผู้ป่วยมักมาพบแพทย์ด้วยอาการ ปวดแสบบริเวณช่องคลอด คลำเจอถุงน้ำ หรือตุ่มหนองที่อวัยวะเพศ
หลายคนกังวลใจว่าฝีต่อมบาร์โธลินคืออะไร มีวิธีรักษาอย่างไร จะลุกลามจนกลายเป็นโรคร้ายได้หรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบ
สารบัญ
ทำความรู้จัก ‘ต่อมบาร์โธลิน’ คืออะไร
ต่อมบาร์โธลิน (Bartholin Glands) เป็นต่อมสำคัญของเพศหญิง มีขนาดเล็กประมาณเมล็ดถั่ว อยู่บริเวณข้างซ้ายและข้างขวาของรอยต่อข้างในแคม ทำหน้าที่สำคัญคือ การผลิตของเหลวที่ช่วยหล่อลื่นขณะมีเพศสัมพันธ์
ต่อมบาร์โธลินมีขนาดเล็กมาก หากอยู่ในภาวะปกติจะคลำไม่พบ แต่หากมีความผิดปกติเกิดขึ้นอาจทำให้เกิดอาการบวม แดง และคลำพบก้อน หรือถุงน้ำได้
โรคฝีต่อมบาร์โธลินคืออะไร
โรคฝีต่อมบาร์โธลิน (Bartholin’s Cyst) ฝีปากช่องคลอด หรือฝีอวัยวะเพศหญิง คือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับต่อมบาร์โธลิน ส่วนใหญ่มักเกิดจากการอุดตันของต่อมบาร์โธลิน จนน้ำหล่อลื่นที่ถูกสร้างขึ้น ไม่สามารถผ่านออกมาได้ และเกิดการสะสมค้างอยู่ในท่อ จนบวมขึ้นเรื่อยๆ และอักเสบ เป็นฝีหนองได้
นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส (Staphylococcus) หรือ เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) หรือหนองในเทียม (Chlamydia)
โรคฝีต่อมบาร์โธลินเกิดจากสาเหตุใด
สาเหตุของโรคฝีต่อมบาร์โธลินนั้นไม่ซับซ้อน โดยอาจเกิดจากการรักษาสุขอนามัยทางเพศไม่ดี จนเกิดการหมักหมมของสิ่งสกปรกบริเวณช่องคลอด เช่น เหงื่อ สารคัดหลั่ง ปัสสาวะ จนเกิดการติดเชื้อได้
นอกจากนี้ การเสียดสีบริเวณอวัยวะเพศบ่อยๆ เช่น การปั่นจักรยาน หรือการสวมชุดชั้นในที่รัดแน่นจนเกินไป ก็เป็นสาเหตุของการอักเสบได้เช่นกัน
โรคฝีต่อมบาร์โธลินมีอาการอย่างไร
อาการส่วนใหญ่ของโรคฝีต่อมบาร์โธลิน ที่ทำให้ผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ มีดังนี้
- รู้สึกเจ็บ ปวด บริเวณช่องคลอดหรือขาหนีบ
- คลำเจอก้อนหรือถุงน้ำใกล้ช่องคลอด
- บริเวณที่เป็นฝี บวม แดง และร้อน
- อาจมีไข้ต่ำๆ เนื่องจากการติดเชื้อ
- มีอาการเจ็บปวดเมื่อเคลื่อนไหว เช่น เดินหรือ ลุก-นั่ง
การตรวจวินิจฉัยฝีต่อมบาร์โธลิน
เมื่อผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นฝีต่อมบาร์โธลิน แพทย์จะซักประวัติและตรวจภายใน อาจมีการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งบริเวณช่องคลอดส่งตรวจโรคและการติดเชื้อเพิ่มเติม
การรักษาฝีต่อมบาร์โธลิน
การรักษาฝีต่อมบาร์โธลิน มีหลากหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน ดังนี้
- กรณีที่อาการไม่รุนแรง ฝีมีขนาดเล็ก เป็นเพียงถุงน้ำ ยังไม่มีหนอง อาจไม่จำเป็นต้องรักษา แต่แพทย์จะแนะนำแนวทางในการดูแลตัวเองเบื้องต้นคือ ให้ผู้ป่วยนั่งแช่น้ำอุ่น หรือประคบอุ่นวันละ 2-3 ครั้ง อาการอักเสบก็จะค่อยๆ ทุเลาลง หากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
- กรณีที่อาการรุนแรง ถุงน้ำมีขนาดใหญ่ อักเสบ บวมแดงมาก มีหนอง อาจจำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ โดยมีแนวทางการักษาดังนี้
- ใช้ยาปฏิชีวนะ หากผลตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ โดยต้องกินให้ครบตามที่แพทย์สั่ง
- เจาะถุงน้ำเพื่อระบายของเหลว กรณีที่ถุงน้ำมีขนาดใหญ่ เป็นหนอง แพทย์อาจแนะนำให้เจาะถุงน้ำเพื่อระบายของเหลวออก
- ผ่าและเย็บปากถุงน้ำบาร์โธลิน (Marsupialization) ในกรณีที่เกิดถุงน้ำซ้ำ แพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดเปิดปากถุงน้ำออก เพื่อเอาสารคัดหลั่งและหนองออกให้หมด แล้วเย็บปากถุงน้ำกับขอบแผล เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
- ผ่าตัดนำต่อมบาร์โธลินออก หากรักษาด้วยวิธีการข้างต้นแล้ว อาการผิดปกติยังไม่หายไป แพทย์อาจแนะนำให้ตัดต่อมบาร์โธลินออก แต่มักจะพบได้น้อย
เจาะลึกการรักษา การผ่าและเย็บถุงน้ำบาร์โธลิน (Marsupialization)
การผ่าและเย็บถุงน้ำบาร์โธลิน (Marsupialization) คือการผ่าตัดเปิดถุงน้ำ เพื่อเอาสารคัดหลั่งและหนองออกให้หมด และเย็บขอบถุงน้ำเข้ากับชั้นผิวหนัง ให้เปิดค้างไว้เป็นช่องทางระบายน้ำถาวร เพื่อป้องกันการอุดตันซ้ำ ถือเป็นวิธีที่แพทย์นิยมใช้ เพราะช่วยลดโอกาสกลับมาเป็นใหม่ ได้มากกว่าแค่การเจาะระบายเพียงอย่างเดียว โดยเป็นการผ่าตัดเล็ก ไม่ต้องใช้ยาสลบ ระยะเวลาพักฟื้นไม่นาน และผู้ป่วยยังกลับบ้านได้ในวันเดียวกันด้วย
ข้อดีของการการผ่าและเย็บถุงน้ำบาร์โธลิน
- ช่วยให้อาการเจ็บปวดปวดลดลงทันทีหลังทำ ผู้ป่วยไม่ต้องทนทรมานกับอาการปวด
- ช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ เพราะแพทย์จะผ่าตัดเปิดแผล พร้อมระบายหนองออกจนหมด
- ช่วยป้องกันการติดเชื้อลุกลาม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดการอักเสบมาก หรือฝีแตกเอง อาจเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้
- เป็นการผ่าตัดเล็ก ใช้เวลา 10–20 นาที ขนาดแผลไม่ใหญ่ สามารถกลับบ้านได้เลยในวันเดียวกัน ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว
ขั้นตอนการผ่าและเย็บถุงน้ำบาร์โธลิน
- เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดบริเวณผ่าตัด
- แพทย์ระงับความรู้สึกด้วยยาชาเฉพาะที่
- จากนั้นจะผ่าเปิดปากถุงน้ำบาร์โธลิน ยาวประมาณ 1–1.5 ซม. เพื่อระบายหนองออกให้หมด แล้วใช้ไหมละลายเย็บผนังต่อมบาร์โธลินเข้ากับชั้นผิวหนัง ช่องทางใหม่นี้จะช่วยให้น้ำเมือกจากต่อมบาร์โธลินไหลออกได้ตามธรรมชาติ ลดโอกาสเกิดซ้ำ
- ตรวจสอบความเรียบร้อยของแผล พร้อมให้นอนสังเกตอาการที่ห้องพักฟื้นประมาณ 1-2 ชม.
- ถ้าไม่มีอาการผิดปกติก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
การดูแลหลังผ่าและเย็บถุงน้ำบาร์โธลิน
- ช่วงแรก แพทย์จะแนะนำให้แช่น้ำอุ่น (Sitz Bath) วันละ 1–2 ครั้ง ช่วยให้แผลแห้งและลดบวม
- ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 1–2 วัน ก็เริ่มทำงานเบาๆ ได้
- งดเพศสัมพันธ์ประมาณ 2–4 สัปดาห์หรือจนกว่าแผลหาย
- อาจมีเลือดออกเล็กน้อย หรือมีน้ำใสๆ ไหลออกได้ 1–2 สัปดาห์ ซึ่งถือว่าปกติ
ผลข้างเคียง หรือความเสี่ยงที่ควรทราบก่อนตัดสินใจ
แม้ว่าจะเป็นการผ่าตัดขนาดเล็ก ค่อนข้างปลอดภัย แต่ก็อาจมีความเสี่ยงเกิดขึ้นได เช่น
- รู้สึกเจ็บหรือบวมหลังทำ 1–3 วัน แต่อาการจะค่อนๆ ดีขึ้นตามลำดับ
- เกิดการติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด แต่พบไม่บ่อย หากมีการดูแลแผลอย่างเหมาะสม
- มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่โอกาสตํ่ากว่าการเจาะระบายหนองเพียงอย่างเดียว
โรคฝีต่อมบาร์โธลิน เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่ไม่ร้ายนัก แต่ส่งผลกระทบและความเจ็บปวดให้ผู้ป่วยค่อนข้างมาก ดังนั้นการรักษาสุขอนามัยทางเพศที่ดี รวมทั้งตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคลงได้
คลำเจอถุงน้ำเล็กๆ บริเวณอวัยวะเพศ รู้สึกเจ็บๆ ปวด แสบ มีหนอง อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย







