ยุคที่ชีวิตเร่งรีบและสุขภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนให้ความสำคัญ การดริปวิตามินหรือ IV drip therapy กลายเป็นเทรนด์ดูแลสุขภาพที่ตอบโจทย์คนไม่มีเวลา มีภารกิจรัดตัว เพราะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน บำรุงผิวพรรณ เติมความสดชื่น ช่วยฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว
บทความนี้ จะพาทุกคนไปรู้จักการดริปวิตามินในหลายแง่มุม ทั้งประโยชน์ ขั้นตอนการดริปวิตามิน คำแนะนำก่อนดริปวิตามิน เพื่อความปลอดภัย ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
สารบัญ
- ดริปวิตามินคืออะไร มีประโยชน์อะไร
- สารที่ใช้ดริปวิตามิน ประกอบด้วยอะไร
- ดริปวิตามิน เหมาะกับใคร
- เตรียมตัวอย่างไรก่อนดริปวิตามิน
- ขั้นตอนดริปวิตามิน เป็นแบบไหน
- ดริปวิตามินอันตรายไหม
- ดริปวิตามินต้องทำกี่ครั้ง เห็นผลเมื่อไร
- ดริปวิตามินอยู่ได้นานแค่ไหน
- การดูแลตัวเองหลังดริปวิตามิน
- การดริปวิตามิน ต่างกับกินวิตามินไหม อันไหนดีกว่า
- ผลข้างเคียงหลังดริปวิตามิน
ดริปวิตามินคืออะไร มีประโยชน์อะไร
การดริปวิตามิน (Intravenous vitamin therapy) เรียกสั้น ๆ ว่า IV drip หมายถึง การให้วิตามิน แร่ธาตุ สารน้ำ หรือสารอาหารเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านหลอดเลือดดำ บางคนอาจรู้จักในชื่ออื่น เช่น
- วิตามินบำบัด
- การฉีดวิตามินผิวขาว
- Vitamin drip
- IV booster
การดริปวิตามินหรือ IV drip นั้นมีข้อดีหลายอย่างด้วยกัน คือ
- วิตามิน แร่ธาตุ และสารน้ำต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตรง ร่างกายดูดซึมได้รวดเร็ว พร้อมใช้ทันที เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร
- เห็นผลในเวลาอันสั้น เมื่อเทียบกับวิธีอื่น อย่างการกิน การทา หรือการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย ขับออกทางปัสสาวะเช่นเดียวกับการกินวิตามิน
- เลือกสูตรวิตามินหรือแร่ธาตุที่เหมาะกับสภาพร่างกายและปัญหาผิวได้ แต่ละสถานพยาบาลจะมีสูตรดริปวิตามินเฉพาะของตัวเอง
สารที่ใช้ดริปวิตามิน ประกอบด้วยอะไร
การดริปวิตามินสามารถส่งสารอาหารเข้าสู่ร่างกายโดยตรง มีทั้งสารอาหารโมเลกุลเล็ก (Micronutrient) ได้แก่ วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ
และสารอาหารโมเลกุลใหญ่ (Macronutrient) ได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวบางชนิด โปรตีนขนาดเล็ก อย่างเปปไทด์ (Peptide) และกรดอะมิโน (Amino acid)
ดริปวิตามิน เหมาะกับใคร
การดริปวิตามินเหมาะกับคนอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป แต่ละสูตรให้ประโยชน์ต่างกันออกไป สามารถเลือกสูตรตามที่สถานพยาบาลจัดไว้ให้ หรือปรึกษาคุณหมอถึงสูตรที่เหมาะสม
เหมาะกับการดริปวิตามินหรือไม่ ลองดูเช็กลิสต์ต่อไปนี้
- คนที่ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตัวเอง มีกิจวัตรประจำวันที่ทำให้ได้รับสารอาหารไม่พอ และอยากฟื้นฟูสุขภาพโดยใช้เวลาไม่มาก
- คนที่อ่อนล้าสะสม ไม่มีเรี่ยวแรง จากการทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วอยากเพิ่มความสดชื่นแก่ร่างกาย
- คนที่ต้องการดูแลผิวพรรณ ฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำ แห้งกร้าน เป็นสิวง่าย ให้กลับมาดูสุขภาพดี อ่อนเยาว์ และเปล่งปลั่งสดใส
- คนที่เจ็บป่วยง่าย มีปัญหาสุขภาพจากภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นหวัดง่าย เป็นภูมิแพ้เรื้อรัง คัดจมูก ไอจามบ่อย ไมเกรน และไซนัสเรื้อรัง
- คนที่ต้องการเสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยกระตุ้นระบบป้องกันร่างกายให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสเกิดโรคหรือการติดเชื้อต่าง ๆ
การดริปวิตามินเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการดูแลร่างกายเชิงป้องกัน เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย และเสริมสร้างภูมิต้านทานในระยะยาว
เตรียมตัวอย่างไรก่อนดริปวิตามิน
การเตรียมตัวก่อนการดริปวิตามินนั้นง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน ดังนี้
- ปรึกษาก่อนการดริปวิตามิน หากเป็นครั้งแรก ควรพบคุณหมอให้ประเมินสุขภาพเบื้องต้น พร้อมแจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว หรือยาที่ใช้ประจำ เพื่อให้คุณหมอเลือกสูตรวิตามินที่เหมาะสม
- เตรียมผลตรวจสุขภาพ: หากมีผลตรวจสุขภาพภายใน 3–6 เดือนที่ผ่านมา ควรนำติดตัวมาให้คุณหมอดูควบคู่ไปด้วย
- แจ้งความต้องการ: บอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องการการดูแล หรืออาการที่เกิดขึ้น เพื่อเลือกดริปวิตามินได้ตรงตามความต้องการ
- ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหาร การดริปวิตามินไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนการทำ
- เตรียมตัวให้พร้อม ควรสวมเสื้อแขนสั้น หรือเสื้อที่ถกแขนถึงบริเวณข้อพับแขน ได้ง่าย สำหรับการดริปวิตามมินผ่านสายน้ำเกลือ
ขั้นตอนดริปวิตามิน เป็นแบบไหน
หลังจากพบคุณหมอประเมินสุขภาพเบื้องต้น ซักประวัติ วัดความดันโลหิต ตรวจสอบความเหมาะสม และเลือกสูตรวิตามินที่ตรงตามความต้องการของผู้เข้ารับบริการแล้ว
เจ้าหน้าที่จะเตรียมตัวดริปวิตามินให้ โดยทำความสะอาดบริเวณข้อพับแขนหรือข้อมือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ ก่อนจะเจาะเข็มเข้าสู่เส้นเลือดดำ และเริ่มให้วิตามินผ่านสายน้ำเกลือตามสูตร กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30–60 นาที
เมื่อเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่จะถอดเข็มออก ปิดพลาสเตอร์ และแนะนำการดูแลหลังดริปวิตามิน ผู้เข้ารับบริการสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีโดยไม่ต้องพักฟื้น
ดริปวิตามินอันตรายไหม
การดริปวิตามินเป็นหัตถการปลอดภัย หากอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญ สถานพยาบาลได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์เหมาะสม มีเครื่องมือช่วยพร้อมช่วยเหลือยามฉุกเฉิน
ก่อนการดริปวิตามินทุกครั้ง ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อประเมินถึงความเหมาะสม เพราะคนบางกลุ่มมีข้อควรระวัง หรือไม่เหมาะกับการให้วิตามินบางตัว เช่น
- กำลังตั้งครรภ์ อยู่ในช่วงให้นมลูก
- กำลังอยู่ในช่วงอดอาหาร หรือคุมน้ำหนัก
- มีประวัติแพ้ยาหรือวิตามินบางตัว กินยาต้านเกล็ดเลือด
- มีโรคประจำตัว เช่น โรค G6PD โรคตับรุนแรง ภาวะไตเสื่อม ไตวายเรื้อรัง หรือต้องล้างไตอย่างสม่ำเสมอ
- รู้สึกไม่สบาย มีไข้สูง
- มีผื่นหรือแผลตรงที่จะดริปวิตามิน เช่น ข้อพับแขน ข้อมือ หลังฝ่ามือ
ดริปวิตามินต้องทำกี่ครั้ง เห็นผลเมื่อไร
การดริปวิตามินยังไม่เห็นผลทันที ต้องดริปวิตามินอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 3–5 ครั้ง ขึ้นไป
แต่จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่นและความกระปรี้กระเปร่าในครั้งแรก ส่วนผลลัพธ์จะเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสุขภาพพื้นฐาน การตอบสนองของร่างกาย โรคประจำตัว และความต้องการของแต่ละคนด้วย
คุณหมอจะแนะนำจำนวนครั้งและความถี่ในการดริปวิตามินที่เหมาะสมให้ โดยทั่วไป
อาจให้ดริปวิตามินทุก 1–2 สัปดาห์ เป็นระยะเวลาประมาณ 4–6 ครั้ง หลังจากนั้นจะปรับตามปัญหาของแต่ละคนอีกครั้ง เพื่อรักษาระดับวิตามินในร่างกาย และเสริมสร้างสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ
ดริปวิตามินอยู่ได้นานแค่ไหน
หลังจากดริปวิตามิน วิตามินและสารอาหารต่าง ๆ จะคงอยู่ในร่างกายประมาณ 1–2 เดือน ขึ้นอยู่กับ ชนิดของวิตามินที่ได้รับ ร่างกายของแต่ละคน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต หากต้องการให้ผลลัพธ์คงที่ ควรทำอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่คุณหมอแนะนำ
การดูแลตัวเองหลังดริปวิตามิน
หลังดริปวิตามินควรดูแลสุขภาพตัวเองควบคู่ไปด้วย ทำได้ง่าย ๆ ตามคำแนะนำดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่
- ดื่มน้ำเปล่าให้เหมาะสม ประมาณ 1.5–2 ลิตรต่อวัน เพื่อช่วยในการขับของเสีย ร่างกายนำวิตามินและสารอาหารต่าง ๆ ไปใช้ได้เต็มที่
- กินอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม
- ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะไปลดทอนประสิทธิภาพและการทำงานของวิตามิน
- ทาครีมกันแดด หากต้องออกแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป
- เลี่ยงการสัมผัสผิว ไม่ควรนวด จับ หรือถูบริเวณที่ดริปวิตามินหลังทำทันที
- ไม่ทำกิจกรรมหนัก ช่วงวันแรกหลังดริปวิตามิน ควรเลี่ยงทำกิจกรรมหนัก หรือการออกกำลังกายหนัก
การดริปวิตามิน ต่างกับกินวิตามินไหม อันไหนดีกว่า
การดริปวิตามินและการกินวิตามินให้ผลเหมือนกัน ความแตกต่างจะอยู่ที่ความเร็วในการดูดซึม และการเห็นผล การดริปวิตามินจะส่งสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง ทำให้ร่างกายดูดซึมได้เกือบ 100% สามารถเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วในไม่กี่วัน
ส่วนการกินวิตามินต้องผ่านกระบวนการย่อยและดูดซึมในระบบทางเดินอาหาร ทำให้กว่าร่างกายจะดูดซึมต้องใช้เวลานานกว่า ไม่ว่าจะเลือกดูแลสุขภาพด้วยวิธีใด ก็ให้ผลไม่ต่างกัน แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน หรืออาจเลือกดริปวิตามินเป็นตัวเสริม นอกเหนือจากการดูแลตัวเองพื้นฐาน
ผลข้างเคียงหลังดริปวิตามิน
ภายหลังการดริปวิตามินมักจะมีเพียงรอยแดงจุดเล็ก ๆ จากเข็มที่ให้วิตามิน รอยดังกล่าวจะหายไปเองภายใน 2–3 วัน
ส่วนอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่บ่อย เช่น มีอาการบวม รอยช้ำ จ้ำเลือด หรือมีก้อนเลือดขังบริเวณที่ดริปวิตามิน สามารถใช้ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการได้ หากอาการไม่ดีขึ้นควรกลับมาพบคุณหมอ
นอกจากนี้ บางคนอาจแพ้วิตามินหรือสารอาหารที่ให้ ทำให้มีอาการคลื่นไส้ เวียนหัว ปวดท้อง ผื่นขึ้นตามตัว หรือใจสั่นได้ หากเกิดอาการดังกล่าว ควรรีบพบคุณหมอด่วนที่สุด
ชีวิตประจำวันดูดพลังจนหมดแรง? มาบูสต์เอนเนอร์จี้กัน เช็กโปรเด็ด IV Drip ที่ HDmall.co.th แหล่งรวมรวบโปรเด็ดจากรพ.ชั้นนำทั่วประเทศ