ผ่าตัดดึงขมับ ปรับผิวหน้าส่วนบนให้กระชับดูอ่อนเยาว์

ปัญหาผิวบริเวณหน้าผาก คิ้ว หรือรอบดวงตาเกิดรอยเหี่ยวย่นหรือตีนกา ย่อมส่งผลทำให้ใบหน้าดูไม่อ่อนเยาว์ และยังส่งผลต่อรูปดวงตาทำให้ดูหมองคล้ำไม่สดใสได้

ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการ “ดึงขมับ” ซึ่งเป็นการทำหัตถการที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวหน้าส่วนบนโดยเฉพาะ

ดึงขมับคืออะไร?

ดึงขมับ (Temporal Lift) คือ วิธีรักษาความงามเพื่อยกกระชับผิวหน้าส่วนบนบริเวณหน้าผาก หางคิ้ว ระหว่างคิ้ว และผิวรอบดวงตาที่มีปัญหาหย่อนคล้อย มีรอยพับ หรือรอยเหี่ยวย่นอย่างชัดเจน ผ่านการดึงผิวบริเวณขมับทั้ง 2 ข้าง

การดึงขมับมักใช้วิธีการ “ผ่าตัด” เป็นแนวทางหลักในการดึงผิวหน้าให้กลับมากระชับอีกครั้ง จึงมักมีชื่อเต็มให้เรียกได้อีกชื่อว่า “ผ่าตัดดึงขมับ” หรือบางครั้งก็ถูกเหมารวมให้อยู่ในหมวด “การผ่าตัดดึงหน้า” ด้วยเช่นกัน เพราะมีกระบวนการผ่าตัดที่คล้ายคลึงกัน

โดยขั้นตอนการดึงขมับ เริ่มต้นจากแพทย์กรีดเปิดแผลบริเวณเหนือใบหู หลังใบหู หรือไรผมเหนือขมับ แล้วเลาะผิวชั้นเนื้อเยื่อห่อหุ้มกล้ามเนื้อ หรือชั้นผิว SMAS ออกมา จากนั้นดึงผิวส่วนที่หย่อนคล้อยให้ตึง และตัดผิวส่วนเกินที่ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยออกไป หลังจากนั้นเย็บขึงความกระชับของผิวใหม่ด้วยไหมผ่าตัด แล้วเย็บปิดแผล

ผ่าตัดดึงขมับช่วยอะไร?

การผ่าตัดดึงขมับสามารถเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากริ้วรอย และความหย่อนคล้อยของผิวหน้าส่วนบนได้หลายอย่าง เช่น

  • ช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ หน้าดูเด็กขึ้น
  • ลดริ้วรอยต่างๆ ที่เห็นชัดให้จางลง เช่น รอยเส้นขีดบนหน้าผาก ผิวหน้าผากคล่อนคล้อย รอยตีนกาข้างหางตา ร่องลึกใต้ตาหรือรอบดวงตา
  • ช่วยเสริมมิติของดวงตาให้ดูชัดและกลมโตมากขึ้น
  • แก้ปัญหาขนาดตา 2 ข้างไม่เท่ากัน
  • แก้ปัญหาหนังตาหย่อน ถุงใต้ตาชัด
  • แก้ปัญหาตาง่วง ตาปรือ ทำให้ใบหน้าดูเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา

อยากดึงขมับแต่ไม่อยากผ่าตัด มีวิธีอื่นอีกหรือไม่?

หากผู้เข้ารับบริการไม่ประสงค์จะแก้ปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยผ่านวิธีการ “ผ่าตัดเพื่อดึงผิว” ก็สามารถพึ่งพาวิธีรักษาความงามแบบอื่น เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของผิวได้ โดยอาจเป็นการเติมเต็มเนื้อผิวเข้าไปเพื่อลดมิติของความหย่อนคล้อย หรือการใช้คลื่นพลังงานเข้าไปปรับสภาพผิวที่เหี่ยวย่นเสียใหม่ เช่น

  • การร้อยไหม ซึ่งเป็นการใช้ไหมพิเศษที่ปลอดภัยต่อผิวเข้าไปเกี่ยวดึงผิวที่หย่อนคล้อยให้กลับมาตึงและกระชับในองศาที่ดูสวยงามเข้ากับโครงสร้างใบหน้ามากขึ้น
  • การฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum toxin) หรือการฉีดโบท็อกซ์ เพื่อปรับสภาพกล้ามเนื้อใต้ผิวให้หดตัว ไม่มีรอยพับ ส่งผลให้ผิวตึงกระชับเข้าหากัน
  • การฉีดฟิลเลอร์ เป็นวิธีการเติมเต็มมิติของผิวเข้าไปแทนที่จะเป็นการดึงเนื้อผิว ผ่านการฉีดสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารเติมเต็มที่มีอยู่ในร่างกายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ทำไมผิวส่วนที่เป็นร่องลึกจากความหย่อนคล้อยกลับมีความอิ่มหูอวบอิ่มมากขึ้น
  • การทำไฮฟู่ (HIFU) หรือการทำเทอร์มาจ (Thermage) เป็นการใช้นวัตกรรมคลื่นพลังงานอัลตราซาวด์ (Focus Ultrasound) หรือคลื่นวิทยุความถี่สูง (High Radio Frequency) เข้าไปปรับสภาพชั้นผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับ ทำให้ผิวที่เหี่ยวมีรอยพับกลับมาเต่งตึงขึ้น

ข้อดีของการผ่าตัดดึงขมับ

การผ่าตัดดึงขมับมีจุดเด่นที่น่าสนใจและโดดเด่นกว่าแนวทางการปรับความหย่อนคล้อยของผิวด้วยวิธีอื่นๆ หลายอย่าง เช่น

  • ผลลัพธ์ที่ยาวนาน เพราะเป็นการรักษาความหย่อนคล้อยของผิวตั้งแต่ระดับชั้นเนื้อเยื่อ จึงทำให้ผลลัพธ์หลังการผ่าตัดดึงขมับอยู่ได้นานหลายปี ยิ่งหากรักษาสุขภาพผิวอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย ก็อาจอยู่ได้นานถึง 10 ปีเลยทีเดียว
  • สามารถรักษาผิวได้หลายส่วนในครั้งเดียว เพราะการผ่าตัดดึงขมับไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแค่ส่วนของผิวขมับเพียงอย่างเดียว แต่ช่วยเปลี่ยนแปลงผิวได้ตั้งแต่หน้าผาก หางตา รอบดวงตา
  • ช่วยเรื่องความเรียบเนียนของผิว เนื่องจากการดึงขมับจะช่วยทำให้รอยพับของผิวที่เห็นได้ชัดดูจางลง ผิวหน้าโดยรวมหลังผ่าตัดจึงจะดูเรียบเนียนขึ้น ไม่มีริ้วรอยที่ชัดเจนมากเหมือนช่วงก่อนผ่าตัด
  • ช่วยปรับบุคลิกภาพได้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นในส่วนของข้อดีของการดึงขมับ ที่ช่วยปรับรูปดวงตาที่ดูง่วงหรือปัญหาตาปรือได้ ซึ่งปัญหาดวงตาแบบนี้ได้ทำให้บุคลิกภาพของหลายคนดูไม่น่าดึงดูดใจ ดังนั้นนอกจากการรักษาผิวแล้ว การผ่าตัดดึงขมับยังช่วยเสริมความสดใสและภาพลักษณ์ของหลายๆ คนให้ดูน่าสนใจมากขึ้นด้วย

ข้อเสียของการผ่าตัดดึงขมับ

การผ่าตัดดึงขมับยังจัดเป็นการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งต้องมีการให้ยาชาและอาจรวมถึงยาสลบในผู้เข้ารับบริการบางท่านด้วย ทำให้ต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า และมีการพักฟื้นหลังผ่าตัดในระยะเวลาหนึ่ง จึงอาจเป็นการเสียเวลาในผู้เข้ารับบริการที่มีภารกิจต้องทำงานประจำ หรือมีภาระงานที่ไม่สามารถลาหยุดได้ง่ายๆ

นอกจากนี้ถึงแม้การผ่าตัดดึงขมับจะให้ผลลัพธ์ในระยะยาวนาน แต่ก็ยังไม่จัดเป็นการรักษาที่เห็นผลถาวร

หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง เมื่ออายุของผู้เข้ารับบริการมากขึ้นและผิวเกิดความเสื่อม หรือเสียหายจากปัจจัยต่างๆ ใบหน้าที่เคยผ่าตัดดึงขมับไปแล้วก็อาจมีปัญหาหย่อนยานได้อีกครั้ง

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดดึงขมับ

ก่อนเข้ารับการผ่าตัดดึงขมับ ผู้เข้ารับบริการจะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนเดินทางมาสถานพยาบาล เพื่อให้สุขภาพพร้อมต่อการผ่าตัดมากที่สุด เช่น

  • ต้องแจ้งประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ยาประจำตัว วิตามินเสริม สมุนไพรเสริมสุขภาพ อาหารเสริมทุกชนิดที่กินอยู่ให้แพทย์ทราบอย่างครบถ้วน
  • อาจต้องงดยาบางชนิดล่วงหน้าก่อนผ่าตัด เช่น ยากลุ่มแอสไพริน (Aspirin) ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด วิตามินอี น้ำมันปลา กระเทียม
  • งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนผ่าตัด
  • หากต้องการผ่าตัดโดยใช้ยาสลบร่วมด้วย ต้องงดน้ำและงดอาหาร อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ก่อนผ่าตัด
  • ควรสระผมและอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนเดินทางมาสถานพยาบาล
  • พาญาติมาด้วยในวันผ่าตัด เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกหลังการผ่าตัดซึ่งอาจมีความรู้สึกระบมแผลหรือมึนเบลอจากยาสลบได้
  • ควรสวมเสื้อผ้าที่เป็นกระดุมหน้า เพื่อให้ง่ายต่อการถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนและหลังผ่าตัด
  • ควรลางานล่วงหน้า 2-3 วัน เพื่อเว้นช่วงให้ได้พักฟื้นหลังผ่าตัดด้วย

ขั้นตอนการผ่าตัดดึงขมับ

กระบวนการผ่าตัดดึงขมับจะใช้เวลาประมาณ 2-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับเทคนิคและกระบวนการผ่าตัดของแต่ละสถานพยาบาล โดยแพทย์จะทำความสะอาดผิว แล้ววางยาชากับยาสลบให้กับผู้เข้ารับบริการ จากนั้นแพทย์จะกรีดแผลลงไปถึงชั้นผิวหนัง SMAS

จากนั้นแพทย์จะดึงผิวส่วนที่มีปัญหาให้ตึง พร้อมกับตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินหลังจากดึงผิวเรียบร้อยออกไป แล้วเย็บผิวให้เรียบร้อยและแนบเนียนไปกับไรผมโดยรอบ หรือบริเวณหลังใบหู

ในบางสถานพยาบาล เทคนิคการผ่าตัดดึงขมับอาจเหมือนกับการผ่าตัดดึงหน้า เพียงแต่จะจำกัดพื้นที่การผ่าตัดอยู่เพียงส่วนบนของใบหน้าเท่านั้น

โดยนอกจากเทคนิคการดึงผิวหนังให้ตึงและเย็บตกแต่งผิวแล้ว แพทย์อาจใช้เทคนิคการผ่าตัดส่องกล้อง (Endoscopic lift) เพื่อให้แผลหลังผ่าตัดมีขนาดเล็กมากขึ้น หรือใส่อุปกรณ์ยึดผิวให้ตึงเพิ่มลงไป เช่น เอนโดไทน์ ฟอร์เฮด (Endotine Forehead) ซึ่งเป็นวัสดุสำหรับผ่าตัดดึงหน้าบริเวณหน้าผาก สามารถละลายเองได้ตามธรรมชาติ และมีความปลอดภัยต่อร่างกาย

เพื่อให้เข้าใจต่อแนวทางการผ่าตัดที่จะเกิดขึ้นอย่างกระจ่างแจ้ง ผู้เข้ารับบริการควรสอบถามเกี่ยวกับเทคนิคและวัสดุที่ช่วยผ่าตัดดึงขมับกับแพทย์อย่างครบถ้วนเสียก่อนรับบริการ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันทั้งฝ่ายผู้ให้บริการและฝ่ายผู้เข้ารับบริการ

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดดึงขมับ

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้เข้ารับบริการจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตนเองหลังผ่าตัดกับแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น

  • ใส่ผ้ารัดผิวไว้ตลอดในช่วงแรกหลังผ่าตัด
  • นอนหมอนสูงในช่วง 1-2 วันแรก
  • ในช่วง 7-10 วันแรกหลังผ่าตัด แผลอาจบวมได้ ให้ใช้การประคบเย็นช่วย
  • สามารถสระผมได้หลังผ่าตัดประมาณ 1 วัน แต่ให้สระย่างเบามือ งดการกดหรือขยี้หนังศีรษะแรงๆ และควรใช้แชมพูที่อ่อนโยนต่อผิวหรือแชมพูเด็ก
  • งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ 4-6 สัปดาห์ หลังจากผ่าตัด
  • งดทำกิจกรรมที่ออกแรงเยอะ การออกกำลังกายหนักๆ การยกของหนักประมาณ 1-2 สัปดาห์แรก หลังจากผ่าตัด
  • สามารถเดินช้าๆ ออกกำลังกายได้บ้าง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต แผลหลังผ่าตัดจะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น
  • มาตัดไหมและตรวจความเรียบร้อยของแผลกับแพทย์ประมาณ 7-10 วัน หลังผ่าตัดหรือตามที่แพทย์นัด

ข้อควรระวังของการผ่าตัดดึงขมับ

ข้อควรระวังที่ควรรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดดึงขมับ เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนรับบริการผ่าตัด ได้แก่

1. ความเป็นธรรมชาติของผิว

การผ่าตัดดึงขมับเป็นการผ่าตัดที่ช่วยปรับความหย่อนคล้อยของผิวได้ตั้งแต่ชั้นเนื้อเยื่อ แต่ก็ต้องปรับแต่พอดีและเหมาะสมกับโครงหน้า รวมถึงอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับสภาพผิวที่หย่อนคล้อยเท่านั้น มิฉะนั้นก็อาจส่งผลต่อความเป็นธรรมชาติของการขยับผิวหลังการผ่าตัดได้

ผู้ที่ผ่าตัดดึงขมับและผิวดูไม่เป็นธรรมชาติ จะสังเกตเห็นได้ผ่านความตึงเกินไปของผิวระหว่างแสดงสีหน้าหรือกำลังพูดคุย รวมถึงอาจมีโครงหน้าที่ดูแปลกไปจากก่อนรับบริการ

ผู้เข้ารับบริการจึงต้องศึกษารีวิว ดูข้อมูลความชำนาญของแพทย์ผู้ผ่าตัด รวมถึงศึกษาความเป็นมาตรฐานของสถานพยาบาลเสียก่อนตัดสินใจรับบริการ

2. ระยะเวลาของผลลัพธ์

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า การผ่าตัดดึงขมับไม่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ถาวรตลอดไป ผิวของเราทุกคนย่อมเกิดความเสื่อมตัวได้ตามอายุที่มากขึ้นและปัจจัยอื่นๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน สารอาหารที่กินทุกวัน หลังจากนั้นผิวหลังผ่าตัดดึงขมับก็อาจกลับมาหย่อนตัว มีริ้วรอย คิ้วตก หรือถุงใต้ตาชัดขึ้นอีกครั้งได้

ผู้เข้ารับบริการจึงต้องมีการดูแลสุขภาพผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วย เพื่อให้ปัญหาผิวที่สามารถกลับเสื่อมได้อีกครั้งเกิดขึ้นได้ช้าลงที่สุด หรือเห็นการเปลี่ยนแปลงของความเสื่อมได้น้อยที่สุด เช่น ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แสงแดดจัดๆ กินอาหารที่ช่วยเสริมสุขภาพผิว หลีกเลี่ยงการดื่มสุราและสูบบุหรี่

3. แผลเป็นคีลอยด์

แม้จะมีการซ่อนแผลหลังผ่าตัดที่แนบเนียน แต่โอกาสที่ผิวบริเวณที่ถูกกรีดเป็นเพื่อผ่าตัดจะขยายตัวเป็นแผลคีลอยด์ได้ก็ยังมีอยู่ ผู้เข้ารับบริการจึงต้องหมั่นสังเกตการเปลี่นแปลงของแนวแผลเป็นหลังผ่าตัดอยู่เรื่อยๆ

หากพบว่าแผลผ่าตัดนูนขึ้นคล้ายกับแผลคีลอยด์และเห็นได้ชัดมากๆ ก็จำเป็นเข้ารับการรักษาแผลคีลอยด์ต่อจากนั้น เพื่อไม่ให้แผลขยายใหญ่จนเห็นได้ชัดจากภายนอกได้


แพ็กเกจผ่าตัดดึงหน้า แพ็กเกจผ่าตัดดึงขมับ

Scroll to Top