วิตามินดี 3 เป็นชื่อทั่วไปของ cholecalciferol วิตามินดี 3 สามารถรับประทานเป็นอาหารเสริมเพื่อช่วยให้ร่างกายโดยรวมแข็งแรง หรือเพื่อรักษาโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษาอาการของผู้ป่วยที่วิตามินดี 3 ต่ำ เช่น ในผู้ที่มีต่อมพาราไทรอยด์ต่ำ มีระดับฟอสเฟตในเลือดต่ำ หรือสภาวะที่เกี่ยวข้องกับยีนเมื่อร่างกายไม่ตอบสนองต่อพาราไทรอยด์ฮอร์โมน
วิตามินดี 3 ยังช่วยให้ฟอสเฟตกลับไปใช้ซ้ำภายในเลือด เพื่อให้เลือดนั้นมีระดับ pH คงที่ คุณสามารถหาซื้อวิตามินดี 3 ได้ตามร้านขายยาทั่วไป เพราะวิตามินตัวนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ใบสั่งแพทย์
สารบัญ
- การขาดวิตามินดี 3
- ความแตกต่างระหว่างวิตามินดี 2 และวิตามินดี 3
- อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี 3
- Cholecalciferol และสิว
- ระดับของ Cholecalciferol และน้ำหนักตัว
- คำเตือนสำหรับการรับประทาน Cholecalciferol
- การตั้งครรภ์และวิตามินดี 3
- ผลข้างเคียงของ Cholecalciferol (วิตามินดี 3)
- ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก
- ปฏิกิริยาของ Cholecalciferol กับยาและอาหาร
- Cholecalciferol และแอลกอฮอล์
- ขนาดยาวิตามินดี 3
- การรับประทานวิตามินดี 3 เกินขนาด
- การลืมรับประทานวิตามินดี 3
การขาดวิตามินดี 3
ในสมัยก่อน การขาดวิตามินดี 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกอ่อนในเด็ก ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการมีระดับวิตามินดี 3 ต่ำในเด็ก เด็กที่เป็นโรคนี้และผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้เมื่ออยู่ในวัยเด็กมักจะมีขาที่มีลักษณะงอ แต่ถึงกระนั้น ผู้ใหญ่ที่ขาดวิตามินดี 3 มักจะไม่เป็นโรคกระดูกอ่อนในเด็ก แต่กระดูกของพวกเขาจะนิ่มลง สภาวะนี้ถูกเรียกว่า osteomalacia หรือกระดูกน่วม
นอกจากนี้ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น celiac disease ปัญหาเกี่ยวกับตับ หรือ โรคโครห์น มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีระดับวิตามินดี 3 ต่ำ แสงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานธรรมชาติของวิตามินดี 3 และผู้ที่แทบจะไม่ออกไปข้างนอกเลย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่อยู่ในบ้านพักผู้ป่วย หรือผู้ป่วยติดเตียง
มีความเป็นไปได้สูงที่จะขาดวิตามินดี 3 และยิ่งถ้าคุณมีผิวสีเข้มมากขึ้นเท่าไหร่ คุณยิ่งต้องการแสงอาทิตย์มากขึ้นเพื่อให้ระดับวิตามินดี 3 ส่งผลให้คุณมีสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะว่าเมลานินเพิ่มเติมที่พบขึ้นในผิวสีเข้มชะลอวิตามินดี 3 ที่ซึมเข้าสู่ผิว บางรายงานการศึกษาชี้ให้เห็นว่าระยะเวลาของวันที่คุณได้รับแสงอาทิตย์นั้นส่งผลต่อประสิทธิภาพในการซึมซับวิตามินดี 3 ของร่างกาย
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านแนะนำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงแสงแดดระว่างเวลา 10 โมงเช้าและบ่ายสอง-สามโมงเย็น เพื่อช่วยปกป้องผิวจากมะเร็งผิวหนัง แต่ข้อมูลกลับแสดงให้เห็นว่าร่างกายกลับซึมซับวิตามินดี 3 ได้เป็นอย่างดีในช่วงเวลาดังกล่าว
ความแตกต่างระหว่างวิตามินดี 2 และวิตามินดี 3
วิตามินดีอยู่สองชนิดนี้คล้ายกัน แต่มีจุดต่างกัน โดย วิตามินดี 2 หรือ ergocalciferol ที่มักพบได้ในอาหาร ส่วนวิตามินดี 3 นั้นร่างกายสร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติเมื่อผิวถูกแสงอาทิตย์
แม้ว่ายังมีข้อโต้เถียงบางประการ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ในปัจจุบันเชื่อว่าวิตามินดีในรูปแบบของอาหารเสริมชนิดที่ดีที่สุดที่ควรรับประทาน คือ วิตามินดี 3
มีการคาดคะเนว่าวิตามินดี 3 มีความเป็นธรรมชาติมากกว่าและง่ายต่อการที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินตัวนี้ นอกจากนี้ ร่างกายยังไม่ยอมรับวิตามินดี 3 แบบเข้มข้นในปริมาณมากเข้าสู่กระแสเลือดเหมือนกับวิตามินดี 2 ที่ร่างกายดูดซึมได้สูง ดังนั้น วิตามินดี 3 จึงถือเป็นวิตามินที่ปลอดภัย
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดี 3
ปลาที่อุดมด้วยไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาค็อด ปลาแมกเคอเรล และ blue fish เป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของวิตามินดี
อาหารที่มีการเติมสารอาหารเข้าไป เช่น นม หรือซีเรียล พร้อมด้วยไข่แดงและเห็ดชิตาเกะสด
Cholecalciferol และสิว
มีการโต้เถียงบางประการว่าวิตามินดี 3 นั้นสามารถใช้รักษาสิวได้หรือไม่ เว็บไซต์คณะกรรมการวิตามินดีบัญญัติไว้ว่าการขาดแสงอาทิตย์อาจทำให้สิวมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้ แต่บางคนกลับสังเกตเห็นว่าอาการสิวของพวกเขาจะแย่ลงในระหว่างหน้าหนาวและอาการดีขึ้นในช่วงหน้าร้อน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาทางคลินิกที่สามารถสนับสนุนว่าการใช้วิตามินดี 3 สามารถรักษาสิวได้ และยังมีหลักฐานเพียงน้อยนิดเกี่ยวกับการใช้วิตามินดี 3 เพื่อป้องกันการเกิดสิว
แต่ถึงกระนั้น มีบางบันทึกเรื่องราวได้ชี้ให้เห็นว่าหลังจากรับประทานวิตามินดี 3 ในรูปแบบของอาหารเสริมหรือชนิดน้ำมันทาผิวแล้วอาการสิวนั้นลดลง
ระดับของ Cholecalciferol และน้ำหนักตัว
การศึกษาในปัจจุบันบ่งบอกว่าผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินนั้นอาจมีระดับวิตามินดีที่สูง เหตุผลนั้นอาจเป็นเพราะวิตามินดีเป็นสารที่มีน้ำมันและสะสมในเนื้อเยื่อของร่างกาย
ดังนั้นยิ่งร่างกายคุณมีไขมันมากเท่าไร มันยิ่งง่ายที่ตัววิตามินดีจะสะสมในร่างกายมากขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าคุณมีน้ำหนักตัวน้อยกว่ามาตรฐาน ระดับวิตามินดีของคุณอาจจะต่ำเพราะคุณมีไขมันน้อยต่อการสะสมวิตามินดีเพิ่มเติม
คำเตือนสำหรับการรับประทาน Cholecalciferol
แจ้งแพทย์ประจำตัวของคุณก่อนที่คุณจะรับประทานวิตามินดี 3 หากคุณ
- กำลังรับประทานยากลุ่ม bile acid sequestrants ที่จับกับน้ำดีในทางเดินอาหารเพื่อทำให้ตับขาดน้ำดีในการสร้างคอเลสเตอรอล เช่น Welchol (colesevelam), Colestid (colestipol) Locholest, Prevalite (cholestyramine)
- คุณกำลังรับประทานยาลดน้ำหนัก เช่น Alli หรือ Xenical (orlistat)
การตั้งครรภ์และวิตามินดี 3
ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าวิตามินดี 3 อาจสร้างความเสียหายให้กับทารกในครรภ์ของคุณหรือไม่
แจ้งแพทย์ประจำตัวของคุณหากคุณกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ก่อนที่จะรับประทานยาตัวนี้
และคุณควรแจ้งแพทย์ประจำตัวของคุณเช่นกันหากคุณกำลังให้นมบุตรหรือวางแผนที่จะให้นมบุตร เพราะวิตามินดี 3 จะถูกส่งผ่านต่อการให้นมบุตรจึงไม่แนะนำให้มารดาที่ให้นมบุตรรับประทาน
ผลข้างเคียงของ Cholecalciferol (วิตามินดี 3)
โดยทั่วไปแล้ว ผลข้างเคียงจากการรับประทานวิตามินดี 3 นั้นแทบจะไม่พบเลย ผลข้างเคียงที่รุนแรงของวิตามินดี 3 มีดังนี้แต่อาจไม่จำกัดต่ออาการ
- อาการแพ้ เช่น ผื่นแดงหรือคัน
- อาการบวมบริเวณใบหน้า คอ และลิ้น
- อาการมึนศีรษะอย่างรุนแรง
- หายใจลำบาก
- มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจเต้นเร็ว
ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก
แม้มันจะเกิดขึ้นไม่บ่อย วิตามินดีอาจทำให้เกิดอาการ
ปฏิกิริยาของ Cholecalciferol กับยาและอาหาร
เป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องแจ้งแพทย์และเภสัชกรของคุณทุกครั้งเกี่ยวกับยาที่คุณกำลังรับประทานอยู่ นี่รวมถึงยาที่จ่ายตามใบสั่งแพทย์และยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ อาหารเสริม เช่น วิตามินหรืออาหารเสริมประเภทอื่น ๆ (สารอาหารชง โปรตีนผง ฯลฯ) ยาสมุนไพร ยาที่ผิดกฎหมาย หรือยาที่ใช้เพื่อความเพลิดเพลิน
คุณควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินดี 3 ถ้าคุณกำลังรับประทานยาดังต่อไปนี้
- Zemplar (paricalcitol)
- Donovex or Sorilux (calcipotriene)
- Hectorol (doxercalciferol)
- Mineral oil
- Alli หรือ Xenical (orlistat)
- ยากลุ่ม bile acid sequestrants ที่จับกับน้ำดีในทางเดินอาหารเพื่อทำให้ตับขาดน้ำดีในการสร้างคอเลสเตอรอล เช่น Welchol (colesevelam), Colestid (colestipol), Locholest หรือ Prevalite (cholestyramine)
ยาจำพวก Alli หรือ Xenical หรือยากลุ่ม bile acid sequestrants ที่ได้ชี้แจงไว้ด้านบนสามารถลดหรือป้องกันร่างกายของคุณในการดูดซึมวิตามินดีและวิตามินที่ละลายในไขมันชนิดอื่นๆ ได้ ทั้งวิตามิน เอ อี และเค
คุณควรแยกการรับประทานวิตามินดีจากการรับประทานยาเหล่านี้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงหรือรับประทานวิตามินดีก่อนนอนเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปฏิกิริยา
นอกจากนี้ คุณควรระวังการใช้ยาจำพวก
- Digoxin
- Aluminum hydroxide
- ยาขับปัสสาวะ เช่น chlorthalidone, hydrochlorothiazide และ chlorothiazide
- Magnesium hydroxide และ magnesium citrate
- Fosphenytoin
Cholecalciferol และแอลกอฮอล์
คุณควรหลีกเลี่ยงหรือหยุดการบริโภคแอลกอฮอล์ในขณะที่รับประทานวิตามินดี 3 เพราะแอลกอฮอล์สามารถลดการดูดซึมของตัวยาได้
ขนาดยาวิตามินดี 3
วิตามินดี 3 มีให้เลือกในรูปเม็ดในขนาด 400 IU และ 1000 IU และคุณสามารถหาซื้อวิตามินดี 3 ผสมกับแคลเซียมในเม็ดเดียวได้เช่นกัน
ไม่ควรรับประทานวิตามินดี 3 เกิน 4,000 IU ต่อวันนอกจากแพทย์จะแนะนำให้รับประทาน
โดยทั่วไปแล้วการรับประทานวิตามินดี 3 แล้วเห็นผลดีที่สุดคือรับประทานพร้อมอาหาร ซึ่งตัววิตามินดีนั้นอาจมีให้เลือกในหลายรูปแบบ คุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับชนิดที่เหมาะสำหรับคุณ
ถ้าคุณเป็นโรคกระดูกพรุนและมีอายุมากกว่า 50 ปี คุณควรรับประทานวิตามินดี 800 ถึง 1000 IU (20 ถึง 25 mcg) ต่อวัน พร้อมแคลเซียม
ถ้าคุณรับประทานวิตามินดีเพราะคุณมีต่อมพาราไทรอยด์ต่ำ แพทย์จะประเมินขนาดยาที่เหมาะสำหรับคุณ สำหรับการรักษาโรคกระดูกอ่อนแบบไม่ตอบสนองวิตามินดีในเด็ก แพทย์ประจำตัวของคุณอาจแจ้งให้ลูกของคุณรับประทานวิตามินดี 3 ในขนาดยาระหว่าง 12,000 และ 500,000 IU (0.3 ถึง 12.5 มก. ต่อวัน)
การรับประทานวิตามินดี 3 เกินขนาด
ถ้าคุณสงสัยว่ามีการรับประทานยาเกินขนาด คุณควรติดต่อศูนย์ควบคุมยาพิษหรือห้องฉุกเฉินทันที
การลืมรับประทานวิตามินดี 3
หากคุณลืมรับประทานวิตามินดี 3 ควรรับประทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าถึงเวลาที่ต้องรับประทานยาในขนาดถัดไป ข้ามขนาดยาที่คุณลืมแล้วรับประทานยาขนาดถัดไปตามกำหนดเดิมที่คุณจำเป็นต้องรับประทาน ห้ามรับประทานยาสองขนาดในเวลาเดียวกัน