Choline - ข้อมูล วิธีใช้ ผลข้างเคียง
- ปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ได้ทุกเรื่องเกี่ยวกับยา ทั้งชนิดของยา การใช้ยาอย่างเหมาะสม และข้อควรระวังของยา
- เภสัชกรจะถือว่า ประวัติสุขภาพและข้อมูลส่วนบุคคลที่คุณให้มาเป็นข้อมูลจริง และใช้ข้อมูลนั้นประกอบการให้คำปรึกษาและแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ข้อมูลดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ระหว่างคุณกับเภสัชกรในหน้าแชทส่วนตัวเท่านั้น
- HDmall.co.th จะติดต่อร้านขายยาที่ใกล้ที่สุด ให้คุณปรึกษาและใช้บริการจัดส่งยาจากร้านขายยาที่ได้รับอนุญาตโดยตรง
- HDmall.co.th ไม่ได้จำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยตรง รวมถึงไม่ได้กระทำธุรกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดในหน้านี้มีไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงเท่านั้น
- 🤝 สนใจเป็นหนึ่งในร้านขายยาที่ช่วยให้คำปรึกษาผู้ใช้ด้านยาหรือไม่? สมัครและใช้งานฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
รายละเอียด
โคลีน (Choline) มีความคล้ายกับวิตามิน B โดยตับสามารถผลิตโคลีนออกมาได้ อีกทั้งยังเป็นสารที่อยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น ตับ เนื้อส่วนกล้าม ปลา ถั่วต่างๆ ผักโขม ไข่ และจมูกข้าวสาลี
โคลีนมีประโยชน์และความสำคัญอย่างไรนั้น บทความนี้มีคำตอบ
บทบาทความสำคัญของโคลีน
โคลีนมีความสำคัญต่อการทำงานของตับ การพัฒนาสมอง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบการเผาผลาญของร่างกาย
ด้วยความสำคัญที่มากมายเหล่านี้ จึงมีการนำโคลีนมาใช้รักษาโรคหลายอย่าง ได้แก่ กลุ่มโรคตับ เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง (chronic hepatitis) ตับแข็ง (cirrhosis)
ภาวะสูญเสียความทรงจำ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) สมองเสื่อม (dementia) โรคฮันติงตัน ( Huntington's chorea) โรคทูเร็ตต์ (Tourette's disease) ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการจากสมองน้อย (cerebellar ataxia) โรคชัก (seizures) บางประเภท
อีกทั้งยังสามารถใช้รักษาภาวะซึมเศร้า (depression) และภาวะทางจิตที่เรียกว่า โรคจิตเภท (schizophrenia)
โคลีนออกฤทธิ์อย่างไร?
โคลีนมีหน้าที่คล้ายกับวิตามิน B และถูกใช้ในปฏิกิริยาเคมีของร่างกายหลายอย่าง คาดว่า โคลีนเป็นส่วนสำคัญในระบบประสาท สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด โคลีนอาจสามารถช่วยลดการบวมและการอักเสบได้
วิธีใช้และประสิทธิภาพของโคลีน
ภาวะที่โคลีนมักจะมีประสิทธิภาพในการรักษา
- โรคตับที่เกิดจากการให้อาหารทางหลอดเลือดดำมากเกินไป (parenteral nutrition) การให้โคลีนทางเส้นเลือด (intravenously (by IV)) สามารถรักษาโรคตับของผู้ที่ต้องเข้ารับการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำที่มีภาวะพร่องโคลีนได้
ภาวะที่อาจใช้โคลีนได้
- โรคหอบหืด (Asthma) การรับประทานโคลีนจะบรรเทาอาการหอบหืด อีกทั้งยังอาจจะช่วยลดความจำเป็นที่ต้องใช้ยาขยายหลอดลม (bronchodilators) ได้
- ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (Neural tube defects) งานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่รับประทานโคลีนปริมาณมากในช่วงตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดมาพร้อมภาวะหลอดประสาทไม่ปิดน้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานโคลีนน้อย
ภาวะที่โคลีนอาจไม่สามารถรักษาได้
- อัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) การรับประทานโคลีนเพียงอย่างเดียว หรือพร้อมกับเลซิทิน (lecithin) ไม่ได้ช่วยลดอาการของโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใด
- การรับประทานโคลีนไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการเล่นกีฬา หรือลดความเหนื่อยล้าระหว่างออกกำลังกาย
ภาวะสมองที่เรียกว่า ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการจากสมองน้อย (cerebellar ataxia) งานวิจัยในช่วงแรกได้กล่าวว่า การรับประทานโคลีนทุกวันอาจช่วยให้การประสานงานของอวัยวะของผู้ป่วยโรคนี้ทำงานดีขึ้นได้ แต่งานวิจัยอื่นๆ กลับแสดงให้เห็นว่า โคลีนไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด
ภาวะที่โคลีนอาจไม่มีประสิทธิภาพ
- การสูญเสียความทรงจำเนื่องจากอายุ การรับประทานโคลีนไม่ได้ช่วยในเรื่องความทรงจำของผู้สูงอายุที่มีปัญหาความจำเสื่อม
- จิตเภท (Schizophrenia) การรับประทานโคลีนไม่ได้ลดอาการจากภาวะจิตเภทลง
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่า โคลีนรักษาได้หรือไม่
- ภูมิแพ้ (ไข้ละอองฟาง (hayfever)) งานวิจัยกล่าวว่า การรับประทานโคลีนบางชนิดทุกวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกับการใช้สเปรย์พ่นโพรงจมูกที่ลดอาการแพ้แต่อย่างใด
- ภาวะอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (Bipolar disorder) งานวิจัยกล่าวว่า การรับประทานโคลีนอาจลดอาการทางอารมณ์ของผู้ที่มีปัญหาอารมณ์สองขั้วที่ต้องใช้ลิเทียม (lithium)ได้
- หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) งานวิจัยกล่าวว่า การสูดโคลีนเข้าปอดอาจช่วยให้อาการของโรคหลอดลมอักเสบจากฝุ่นดีขึ้นได้
- การทำงานทางจิต งานวิจัยกล่าวว่า การใช้โคลีน 1 โดส ไม่อาจแก้ไขปฏิกิริยาตอบสนอง การใช้เหตุผล ความทรงจำ หรือการทำงานของจิตใจอื่น ๆ ได้ แต่ก็มีข้อมูลที่กล่าวว่า โคลีนอาจช่วยในเรื่องความทรงจำด้านภาพแต่ไม่ได้ช่วยในเรื่องทางจิตอื่นๆ เมื่อใช้โคลีนพร้อมกับการให้อาหารเข้าเส้นเลือดดำ (parenteral nutrition)
- ชัก (Seizures) มีรายงานว่า การใช้โคลีนปริมาณสูงอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะชักชนิดที่เรียกว่า "ภาวะชักเฉพาะที่แบบขาดสติ (complex partial seizures)"
- ตับอักเสบและภาวะผิดปกติอื่น ๆ ที่ตับ
- ภาวะซึมเศร้า
- คอเลสเตอรอลสูง
- โรคฮันติงตัน (Huntington's chorea)
- โรคทัวเร็ตต์ (Tourette's syndrome)
- ภาวะสุขภาพอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานให้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านประสิทธิผลของโคลีนเพิ่มเติม
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของโคลีน
สำหรับผู้ใหญ่ โคลีนนับว่า น่าจะปลอดภัยเมื่อรับประทาน หรือให้ทางกระแสเลือดในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนการรับประทานโคลีนปริมาณสูงกว่าระดับการบริโภคในแต่และวัน (Daily Upper Intake Levels) มักจะทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่
- เหงื่อออกมาก
- เกิดกลิ่นร่างกาย
- รบกวนการทำงานของระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal distress)
- ท้องร่วง
- อาเจียน
อีกทั้งยังมีข้อกังวลว่า การเพิ่มปริมาณการบริโภคโคลีนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักขึ้นได้ด้วย และมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้หญิงที่รับประทานอาหารที่มีโคลีนปริมาณสูงจะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงต้องมีการศึกษาผลกระทบจากอาหารกับเรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มเติม
คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ
เด็ก
โคลีนจัดว่า น่าจะปลอดภัยสำหรับเด็กส่วนมากเมื่อรับประทานอย่างเหมาะสม แต่การรับประทานโคลีนปริมาณสูงจะทำให้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ เพิ่มขึ้นได้
สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร
การรับประทานโคลีนสำหรับผู้หญิงมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้น้ำนมบุตรที่มีอายุ 18 ปี สามารถรับประทานโคลีนปริมาณประมาณ 3 กรัมต่อวัน
ส่วนผู้หญิงที่มีอายุ 19 ปีและมากกว่า สามารถใช้ได้ที่ 3.5 กรัม โดยที่มักจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ
ณ ขณะนี้ยังคงขาดแคลนข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้โคลีนปริมาณสูงในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตรกับผู้หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นคนกลุ่มดังกล่าวจึงควรเลี่ยงใช้โคลีนเพื่อความปลอดภัย หรือใช้ในปริมาณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้แทน
การใช้โคลีนร่วมกับยาชนิดอื่น
ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของโคลีน
ปริมาณยาที่ใช้
- สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด: รับประทาน 500-1000 mg 3 ครั้งต่อวัน
ปริมาณโคลีนที่ควรได้รับในแต่ละวัน
โคลีนที่อยู่ในอาหารจะอยู่ที่ 200-600 mg ต่อวัน ส่วนค่าปริมาณสารอาหารที่เพียงพอ (Adequate Intake (AI)) มีดังนี้
- ผู้ชายและสตรีที่ต้องให้นมบุตรคือ 550 mg ต่อวัน
- ผู้หญิงคือ 425 mg ต่อวัน
- สตรีมีครรภ์คือ 450 mg ต่อวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ค่า AI คือ 200 mg ต่อวัน อายุ 4-8 ปีคือ 250 mg ต่อวัน 9-13 ปีคือ 375 mg ต่อวัน
- เด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนคือ 125 mg ต่อวัน อายุ 7-12 เดือนคือ 150 mg ต่อวัน
- ปริมาณสารอาหารสูงสุดในแต่ละวัน (Daily Upper Intake Levels (UL)) ของโคลีนสำหรับเด็กอายุ 1-8 ปีคือ 1 กรัม, สำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี คือ 2 กรัม, สำหรับเด็ก 14-18 ปี คือ 3 กรัม, และสำหรับผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 18 ปี คือ 3.5 กรัม
อย่างไรก็ตาม แม้โคลีนจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์แต่ก็ไม่ควรบริโภคแต่โคลีนเพียงอย่างเดียว ควรบริโภคให้หลากหลายและครอบคลุมเพื่อให้ร่างกายทุกส่วนสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม
ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง พักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลโรค