โคลีน (Choline) มีความคล้ายกับวิตามิน B โดยตับสามารถผลิตโคลีนออกมาได้ อีกทั้งยังเป็นสารที่อยู่ในอาหารหลายชนิด เช่น ตับ เนื้อส่วนกล้าม ปลา ถั่วต่างๆ ผักโขม ไข่ และจมูกข้าวสาลี
สารบัญ
บทบาทความสำคัญของโคลีน
- โคลีนมีความสำคัญต่อการทำงานของตับ การพัฒนาสมอง การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบการเผาผลาญของร่างกาย
- ด้วยความสำคัญที่มากมายเหล่านี้ จึงมีการนำโคลีนมาใช้รักษาโรคหลายอย่าง ได้แก่ กลุ่มโรคตับ เช่น โรคตับอักเสบเรื้อรัง (chronic hepatitis) ตับแข็ง (cirrhosis)
- ภาวะสูญเสียความทรงจำ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) สมองเสื่อม (dementia) โรคฮันติงตัน (Huntington’s chorea) โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s disease) ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการจากสมองน้อย (cerebellar ataxia) โรคชัก (seizures) บางประเภท
- อีกทั้งยังสามารถใช้รักษาภาวะซึมเศร้า (depression) และภาวะทางจิตที่เรียกว่า โรคจิตเภท (schizophrenia)
โคลีนออกฤทธิ์อย่างไร?
โคลีนมีหน้าที่คล้ายกับวิตามิน B และถูกใช้ในปฏิกิริยาเคมีของร่างกายหลายอย่าง คาดว่า โคลีนเป็นส่วนสำคัญในระบบประสาท สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด โคลีนอาจสามารถช่วยลดการบวมและการอักเสบได้
วิธีใช้และประสิทธิภาพของโคลีน
ภาวะที่โคลีนมักจะมีประสิทธิภาพในการรักษา
- โรคตับที่เกิดจากการให้อาหารทางหลอดเลือดดำมากเกินไป (parenteral nutrition) การให้โคลีนทางเส้นเลือด (intravenously (by IV)) สามารถรักษาโรคตับของผู้ที่ต้องเข้ารับการให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำที่มีภาวะพร่องโคลีนได้
ภาวะที่อาจใช้โคลีนได้
- โรคหอบหืด (Asthma) การรับประทานโคลีนจะบรรเทาอาการหอบหืด อีกทั้งยังอาจจะช่วยลดความจำเป็นที่ต้องใช้ยาขยายหลอดลม (bronchodilators) ได้
- ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด (Neural tube defects) งานวิจัยบางชิ้นบ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่รับประทานโคลีนปริมาณมากในช่วงตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงที่ทารกจะเกิดมาพร้อมภาวะหลอดประสาทไม่ปิดน้อยลงเมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานโคลีนน้อย
ภาวะที่โคลีนอาจไม่สามารถรักษาได้
- อัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) การรับประทานโคลีนเพียงอย่างเดียว หรือพร้อมกับเลซิทิน (lecithin) ไม่ได้ช่วยลดอาการของโรคอัลไซเมอร์แต่อย่างใด
- การรับประทานโคลีนไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการเล่นกีฬา หรือลดความเหนื่อยล้าระหว่างออกกำลังกาย
- ภาวะสมองที่เรียกว่า ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการจากสมองน้อย (cerebellar ataxia) งานวิจัยในช่วงแรกได้กล่าวว่า การรับประทานโคลีนทุกวันอาจช่วยให้การประสานงานของอวัยวะของผู้ป่วยโรคนี้ทำงานดีขึ้นได้ แต่งานวิจัยอื่นๆ กลับแสดงให้เห็นว่า โคลีนไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแต่อย่างใด
ภาวะที่โคลีนอาจไม่มีประสิทธิภาพ
- การสูญเสียความทรงจำเนื่องจากอายุ การรับประทานโคลีนไม่ได้ช่วยในเรื่องความทรงจำของผู้สูงอายุที่มีปัญหาความจำเสื่อม
- จิตเภท (Schizophrenia) การรับประทานโคลีนไม่ได้ลดอาการจากภาวะจิตเภทลง
ภาวะที่ยังคงขาดหลักฐานว่า โคลีนรักษาได้หรือไม่
- ภูมิแพ้ (ไข้ละอองฟาง (hayfever)) งานวิจัยกล่าวว่า การรับประทานโคลีนบางชนิดทุกวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกับการใช้สเปรย์พ่นโพรงจมูกที่ลดอาการแพ้แต่อย่างใด
- ภาวะอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว (Bipolar disorder) งานวิจัยกล่าวว่า การรับประทานโคลีนอาจลดอาการทางอารมณ์ของผู้ที่มีปัญหาอารมณ์สองขั้วที่ต้องใช้ลิเทียม (lithium)ได้
- หลอดลมอักเสบ (Bronchitis) งานวิจัยกล่าวว่า การสูดโคลีนเข้าปอดอาจช่วยให้อาการของโรคหลอดลมอักเสบจากฝุ่นดีขึ้นได้
- การทำงานทางจิต งานวิจัยกล่าวว่า การใช้โคลีน 1 โดส ไม่อาจแก้ไขปฏิกิริยาตอบสนอง การใช้เหตุผล ความทรงจำ หรือการทำงานของจิตใจอื่น ๆ ได้ แต่ก็มีข้อมูลที่กล่าวว่า โคลีนอาจช่วยในเรื่องความทรงจำด้านภาพแต่ไม่ได้ช่วยในเรื่องทางจิตอื่นๆ เมื่อใช้โคลีนพร้อมกับการให้อาหารเข้าเส้นเลือดดำ (parenteral nutrition)
- ชัก (Seizures) มีรายงานว่า การใช้โคลีนปริมาณสูงอาจมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะชักชนิดที่เรียกว่า “ภาวะชักเฉพาะที่แบบขาดสติ (complex partial seizures)”
- ตับอักเสบและภาวะผิดปกติอื่น ๆ ที่ตับ
- ภาวะซึมเศร้า
- คอเลสเตอรอลสูง
- โรคฮันติงตัน (Huntington’s chorea)
- โรคทัวเร็ตต์ (Tourette’s syndrome)
- ภาวะสุขภาพอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องรวบรวมหลักฐานให้มากขึ้นเพื่อให้ข้อมูลด้านประสิทธิผลของโคลีนเพิ่มเติม
ผลข้างเคียงและความปลอดภัยของโคลีน
สำหรับผู้ใหญ่ โคลีนนับว่า น่าจะปลอดภัยเมื่อรับประทาน หรือให้ทางกระแสเลือดในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนการรับประทานโคลีนปริมาณสูงกว่าระดับการบริโภคในแต่และวัน (Daily Upper Intake Levels) มักจะทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่
- เหงื่อออกมาก
- เกิดกลิ่นร่างกาย
- รบกวนการทำงานของระบบทางเดินอาหาร
- ท้องร่วง
- อาเจียน
อีกทั้งยังมีข้อกังวลว่า การเพิ่มปริมาณการบริโภคโคลีนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักขึ้นได้ด้วย และมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้หญิงที่รับประทานอาหารที่มีโคลีนปริมาณสูงจะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงต้องมีการศึกษาผลกระทบจากอาหารกับเรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มเติม
การใช้โคลีนร่วมกับยาชนิดอื่น
ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ของโคลีน
ปริมาณยาที่ใช้
- สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด: รับประทาน 500-1000 mg 3 ครั้งต่อวัน
ปริมาณโคลีนที่ควรได้รับในแต่ละวัน
โคลีนที่อยู่ในอาหารจะอยู่ที่ 200-600 mg ต่อวัน ส่วนค่าปริมาณสารอาหารที่เพียงพอ (Adequate Intake (AI)) มีดังนี้
- ผู้ชายและสตรีที่ต้องให้นมบุตรคือ 550 mg ต่อวัน
- ผู้หญิงคือ 425 mg ต่อวัน
- สตรีมีครรภ์คือ 450 mg ต่อวัน
- เด็กอายุ 1-3 ปี ค่า AI คือ 200 mg ต่อวัน อายุ 4-8 ปีคือ 250 mg ต่อวัน 9-13 ปีคือ 375 mg ต่อวัน
- เด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนคือ 125 mg ต่อวัน อายุ 7-12 เดือนคือ 150 mg ต่อวัน
- ปริมาณสารอาหารสูงสุดในแต่ละวัน (Daily Upper Intake Levels (UL)) ของโคลีนสำหรับเด็กอายุ 1-8 ปีคือ 1 กรัม, สำหรับเด็กอายุ 9-13 ปี คือ 2 กรัม, สำหรับเด็ก 14-18 ปี คือ 3 กรัม, และสำหรับผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 18 ปี คือ 3.5 กรัม
อย่างไรก็ตาม แม้โคลีนจะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์แต่ก็ไม่ควรบริโภคแต่โคลีนเพียงอย่างเดียว ควรบริโภคให้หลากหลายและครอบคลุมเพื่อให้ร่างกายทุกส่วนสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม
ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง พักผ่อนอย่างเพียงพอ จะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลโรค
คำเตือนและข้อควรระวังเป็นพิเศษ
เด็ก
- โคลีนจัดว่า น่าจะปลอดภัยสำหรับเด็กส่วนมากเมื่อรับประทานอย่างเหมาะสม แต่การรับประทานโคลีนปริมาณสูงจะทำให้มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงต่าง ๆ เพิ่มขึ้นได้
สตรีมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้นมบุตร
- การรับประทานโคลีนสำหรับผู้หญิงมีครรภ์และแม่ที่ต้องให้น้ำนมบุตรที่มีอายุ 18 ปี สามารถรับประทานโคลีนปริมาณประมาณ 3 กรัมต่อวัน
- ส่วนผู้หญิงที่มีอายุ 19 ปีและมากกว่า สามารถใช้ได้ที่ 3.5 กรัม โดยที่มักจะไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ใดๆ
- ณ ขณะนี้ยังคงขาดแคลนข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้โคลีนปริมาณสูงในกลุ่มผู้หญิงที่ต้องให้นมบุตรกับผู้หญิงที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นคนกลุ่มดังกล่าวจึงควรเลี่ยงใช้โคลีนเพื่อความปลอดภัย หรือใช้ในปริมาณที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้แทน