หนึ่งในกระแสความสวยงามที่กำลังมาแรงในช่วงนี้ก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ปาก เพราะสามารถเปลี่ยนรูปทรงปากได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว ทั้งยังเพิ่มความอวบอิ่ม ความเซ็กซี่ ทำให้ปากเป็นกระจับ หรือแก้ปากมีริ้วรอย แห้งแตก ไม่ชุ่มชื้น ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่พอใจกับรูปทรงที่ทำ ก็เปลี่ยนกลับเป็นรูปทรงเดิมหรือใหม่ได้ตามต้องการ
HDmall.co.th จึงได้รวบรวมข้อมูล การฉีดฟิลเลอร์ปาก มาฝากกัน เพื่อไม่ให้ตกกระแสฮิต ที่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนอยากเพิ่มเติมความสวยให้ตัวเอง แบบรวดเร็ว และไม่ต้องผ่าตัด
สารบัญ
- ฉีดฟิลเลอร์ปาก คืออะไร?
- ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ความเสี่ยงของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน?
- ฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานไหม?
- ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่ CC?
- ฉีดปากกี่วันทาลิปได้?
ฉีดฟิลเลอร์ปาก คืออะไร?
ฉีดฟิลเลอร์ปาก (Lip Fillers) คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ เข้าไปที่บริเวณริมฝีปาก ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ร่องปากเนียน และยังช่วยเพิ่มเนื้อปาก ปรับขนาดโครงสร้างของริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากมีความอวบอิ่ม เพิ่มรอยยิ้มสดใส และความเซ็กซี่ให้กับใบหน้า
ประโยชน์ของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- แก้ปัญหารูปปากไม่ได้สัดส่วน เช่น ปากเบี้ยว ปากม้วนเข้า มุมปาก 2 ข้างไม่เท่ากัน เป็นต้น
- แก้ปัญหา ริมฝีปากบางเกินไป หรือริมฝีปากไม่เท่ากัน
- แก้ปัญหาปากเป็นเส้นตรง ไม่เป็นกระจับ
- แก้ปัญหาปากเเห้ง ปากเป็นร่อง ทำให้ทาลิปสติกไม่สวย
- แก้ปัญหามุมปากตก โดยจะยกมุมปากให้ทรงสวยขึ้น
- แก้ปัญหาปากบางเกินไปสำหรับผู้ที่เคยทำศัลยกรรมตัดปากแล้วไม่พอใจ
- แก้ปัญหาขอบปากรูปทรงไม่ชัดเจน
- ส่งให้รูปหน้าโดยรวมมีมิติมากยิ่งขึ้น
- สร้างความเซ็กซี่ และเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้า
- สร้างความมั่นใจ เสริมบุคลิกภาพที่ดี
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว
- ไม่ต้องเตรียมร่างกายมากเหมือนกับการผ่าตัด ไม่ต้องงดอาหารก่อนการฉีด
- ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นนาน
- ดูแลรักษาง่าย ไม่ต้องทำแผล ไม่ต้องตัดไหม ไม่มีรอยไหมหรือแผลภายหลังการฉีด มีเพียงรอยเข็มจุดเล็กๆ ซึ่งสามารถปกปิดได้ด้วยการทาลิปสติก และจะจางหายไปภายใน 1 สัปดาห์
- ไม่มีการบวมช้ำของริมฝีปากภายหลังทำ
- ไม่ต้องรับประทานยามาก
- ปรับเปลี่ยนรูปทรงปากได้ตามต้องการ เช่น เปลี่ยนปากหนา ปากบนใหญ่ หรือปากบางเกินไป ให้เป็นปากกระจับ หรือช่วยปากคว่ำที่ทำให้หน้าดูดุ ไม่น่ามอง ด้วยการยกมุมปากขึ้นจะทำให้กลายเป็นหน้าหวานและยิ้มสวยขึ้น
- ช่วยให้ปากบนและล่างเท่ากัน แก้ปัญหาให้ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุมา หรือเคยมีประวัติผ่าตัดมาก่อน
- เพิ่มความอวบอิ่ม ความเซ็กซี่ ซึ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ ชวนมองให้กับใบหน้ามากขึ้น
- ช่วยให้ปากชุ่มชื้น ฉ่ำวาว ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี
- ทำให้ทาลิปสติกได้สวยขึ้น ไม่ตกร่อง เพราะปากไม่แห้ง แตก มีริ้วรอย
- เห็นความแตกต่างชัดเจนหลังทำ เช่น ริมฝีสวยขึ้น เต็มอิ่มขึ้น สร้างความมั่นใจให้ผู้ทำมากขึ้น
- หากไม่พอใจกับรูปทรงปาก สามารถฉีดสาร ไฮยาโลรูนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ได้ แต่หากเป็นการผ่าตัดจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- ค่าใช้จ่ายต่ำเมื่อเทียบกับการผ่าตัด
ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- ผลลัพธ์ชั่วคราวประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน ประเภทและยี่ห้อฟิลเลอร์
- หากเลือกยี่ห้อฟิลเลอร์ หรือใช้ฟิลเลอร์ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ปากขยายใหญ่บานออกมา หรือปากเจ่อมากเกินไป
- หากแพทย์ไม่ชำนาญและระมัดระวังพอ อาจเกิดอันตรายจากการฉีด เพราะบริเวณริมฝีปากเป็นจุดบอบบาง และมีเส้นเลือดฝอยเล็กจำนวนมาก
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปาก มักไม่ต้องเตรียมการอะไรมากเหมือนการผ่าตัด โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้
- หากเคยผ่าตัดริมฝีปากมาก่อน ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ
- หากมีโรคประจำตัว ยา หรืออาการแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับบริการ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 วัน
- งดสครับหรือเลเซอร์ปาก ประมาณ 1 สัปดาห์
- งดรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน ยาแก้ปวดประจำเดือน และยากลุ่มต้านการอับเสบ NSAIDS เช่น Ibruprofen หรือ Naproxen ประมาณ 2 สัปดาห์
- งดวิตามิน หรืออาหารเสริม เช่น วิตามินอี น้ำมันตับปลา ประมาณ 2 สัปดาห์ เพราะจะทำให้เลือดไหลได้ง่าย ซึ่งจะ ส่งผลให้รอยเขียวช้ำจากการฉีดหายยากด้วย
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- แพทย์ตรวจร่างกาย ประเมินลักษณะของใบหน้า รูปทรงปากและเนื้อริมฝีปาก เพื่อกำหนดบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ แล้วทำสัญลักษณ์ไว้
- ถ่ายภาพก่อนเข้าและหลังเข้ารับการฉีด ฟิลเลอร์ปาก เพื่อให้เห็นภาพผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงภายหลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้ว
- ทายาชาแบบครีมทิ้งไว้ประมาณ 45 – 60 นาที
- แพทย์ฉีดฟิลเลอร์ริมฝีปากตามที่กำหนดไว้ ซึ่งเทคนิคและระยะเวลาในการฉีด จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับรูปทรงที่ต้องการ รูปริมฝีปากก่อนทำ และเนื้อปากของแต่ละคน
- แพทย์จะหยุดฉีดฟิลเลอร์เป็นระยะๆ เพื่อเช็กครูปทรง และสอบถามอาการเจ็บ ซึ่งหากรู้สึกเจ็บ แจ้งแพทย์ได้ทันที
- แพทย์จะอธิบายวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดเสร็จ สามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องพักฟื้น
- พบแพทย์เพื่อตรวจและติดตามผล ในช่วง 1-4 สัปดาห์
- หากมีอาการปวดบวมแดงมากผิดปกติ หรือสีผิวหนังบริเวณที่ฉีด เปลี่ยนเป็นสีซีด สีน้ำตาล หรือดำ ควรรีบพบแพทย์ทันที
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
- งดทาลิปสติก สูบบุหรี่ และใช้หลอดดูดน้ำ ในระยะเวลา 24 ชั่วโมงแรก
- งดออกกำลังกายหนักๆ ตากแดดร้อนๆ หรือการใช้ริมฝีปากรุนแรง ในระยะเวลา 48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจทำให้เกิดรอยแดง บวม บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ และอาจทำให้ปากเสียรูปทาง
- งดดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดอาหารรสจัด ของดิบ และของแสลงตามแพทย์แนะนำ อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดเลเซอร์ อบไอน้ำ หรืออบซาวด์หน้า ที่ใช้ความร้อน อย่างน้อย 4 สัปดาห์
- ทาเจลหรือครีมว่านหางจระเข้ หรือวิตามินเค หากมีรอยฟกช้ำบริเวณที่ฉีด
- ประคบน้ำแข็ง เพื่อบรรเทาอาการบวม เจ็บ คัน ตึง หรือรอยฟกช้ำ
- รับประทานยาแก้ปวดและยาลดบวมเมื่อมีอาการ หรือตามแพทย์สั่ง
- หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ และพยายามหนุนหมอนสูง เพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส ดึง หรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะจะเป็นการทำลายผิวริมฝีปาก ทำให้ผิวเก็บกักน้ำและความชุ่มชื้นไว้ได้น้อยลง
- หลีกเลี่ยงการ บีบ นวด คลึง บริเวณริมฝีปาก เพราะอาจทำให้รูปปากเสียรูปทรงได้
ผลข้างเคียงของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก ที่เกิดในช่วงแรกจะมีเพียงอาการบวม นูน เป็นก้อน และผิวขรุขระ ซึ่งไม่ร้ายแรง และจะค่อยๆ จางหายไปใน 1-2 สัปดาห์
ความเสี่ยงของการฉีดฟิลเลอร์ปาก
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก มักเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ชนิดของฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับบริเวณที่ฉีด ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีดมากเกินไป และที่สำคัญที่สุดคือการฉีดฟิลเลอร์ปลอม จำพวก ซิลิโคนเหลว ไบโอพลาสติก พาราฟิน ซึ่งเป็นสารโพลิเมอร์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งของ ทำมาจากพลาสติก หากเข้าสู่ร่างกายจะไม่สามารถดูดซึมได้ ซึ่งก่อให้เกิดผล ดังนี้
- ใต้ชั้นผิวหนัง ติดเชื้อ มีการอักเสบรุนเเรง
- ผิวบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เป็นก้อน ขรุขระ เป็นคลื่น ผิวหนังไม่เรียบ
- ใบหน้าผิดรูปทรง ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ เนื่องจากฟิลเลอร์ไหล เคลื่อนไปสู่ตำแหน่งอื่น
- เกิดอาการเน่า เขียวช้ำ บวมเป็นก้อน
- เนื้อปากตาย มีพังผืด
- เส้นประสาทถูกทำลาย
- ฟิลเลอร์ไม่สลายไปตามธรรมชาติ จนต้องผ่าตัดเพื่อขูดออก
- อาจร้ายแรงถึงขั้นตาบอด หากฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด และฟิลเลอร์เข้าไปสู่เส้นเลือดที่เลี้ยงดวงตา
ดังนั้น ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากผู้ฉีดควรระมัดระวังในเรื่องคุณภาพของฟิลเลอร์ที่ต้องได้รับรองมาตรฐานจาก อย. รวมไปถึงการเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐาน และแพทย์ที่ต้องมีความเชี่ยวชาญเพียงพอ จึงจะทำให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการ และลดผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นได้
ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน?
อาการบวมที่ริมฝีปากหลังฉีดฟิลเลอร์จะเกิดขึ้นประมาณ 2-3 วันแรก แต่ในบางคนที่มีผิวบวมง่าย ริมฝีปากอาจบวมถึง 5-7 วัน แล้วค่อยๆ ยุบลง จนเริ่มเข้าที่ เห็นทรงสวยและเป็นธรรมชาติ ภายในประมาณ 7-14 วัน ทั้งนี้ผู้ฉีดต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ฉีดฟิลเลอร์ปากอยู่ได้นานไหม?
การฉีดฟิลเลอร์ปากให้ผลลัพธ์ประมาณ 6-18 เดือน โดยถ้าเป็นการฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดความแห้งแตก เป็นการเพิ่มสาร HA ให้ริมฝีปาก จะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน หากฉีดเพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม ฟู เพิ่มวอลลุ่มให้ริมฝีปาก จะอยู่ได้ถึง 12-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้และการดูเเลตัวเองหลังฉีด ทั้งนี้เมื่อครบกำหนดเวลา ฟิลเลอร์จะสลายไปตามธรรมชาติ 100%
ฉีดฟิลเลอร์ปากกี่ CC?
โดยทั่วไป การฉีดฟิลเลอร์ปากสำหรับผู้มีปัญหาปากบาง ปากรูปทรงไม่สวย ปากไม่มีกระจับ จะใช้ประมาณ 1 cc เเต่ถ้าต้องการเพิ่มวอลลุ่มให้ปากดูเซ็กซี่ ฟู และอวบอิ่มมากๆ จะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 2 cc หรืออาจจะมากกว่า โดยแพทย์จะประเมินปริมาณฟิลเลอร์ตามความเหมาะสมเพื่อให้เข้ากับรูปหน้าของเเต่ละคน
ฉีดปากกี่วันทาลิปได้?
ภายหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถกลับมาทาลิปสติกได้หลัง 24-48 ชั่วโมง โดยก่อนหน้านั้น สามารถทาเจลหว่านหางจระเข้ เพื่อลดอาการบวมหรือคันได้ และหลังจาก 14 วัน หากไม่มีอาการผิดปกติบริเวณปาก ผู้ฉีดก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เช่น แต่งหน้า ทาลิปสติก เป็นต้น แต่ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสริมฝีปากด้วยความรุนแรง เพื่อลดการกระทบกับฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไป ซึ่งจะมีผลต่อระยะเวลาการคงสภาพของฟิลเลอร์
โดนสรุปแล้ว สิ่งสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ปาก คือเรื่องของความปลอดภัย โดยต้องเป็นฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน และต้องรับบริการจากสถานพยาบาลและแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และนอกจากนี้ หากแพทย์มีความชำนาญในการประเมินโครงหน้าและลักษณะของใบหน้า สามารถเลือกใช้ประเภทฟิลเลอร์ในประมาณที่พอเหมาะ รวมถึงสามารถกำหนดตำแหน่งการฉีดได้อย่างเหมาะสม จะเพิ่มโอกาสในการได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจสูงสุด ทำให้ได้รูปทรงปากสวยเป็นธรรมชาติ ดังนั้นผู้ที่ต้องการรับบริการจึงต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยก่อนตัดสินใจ จะได้ไม่เสียเงินและเวลาที่ต้องแก้ไขในภายหลัง