อีสุกอีใส หรือ โรคสุกใส (Chicken pox) เป็นโรคที่มีอาการเด่นคือ ตุ่มแดง ตุ่มใส และตุ่มหนองขึ้นตามร่างกาย คัน ร่วมกับมีไข้และไม่มีแรง พบได้บ่อยในฤดูร้อน เกิดบ่อยในเด็กและพบประปรายในผู้ใหญ่
เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว โรคนี้ก็มักทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้าอีก แต่ข้อดีของโรคนี้ก็ยังพอมีคือ เมื่อเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิตและส่วนมากจะไม่เป็นซ้ำอีก
สารบัญ
สาเหตุของโรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเชื้อไวรัสวาริเซลลา (varicella virus) แต่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Chicken pox” ลักษณะจะมีตุ่มเหล่านี้ขึ้นมาตามร่างกาย เรียกว่า “ตุ่มอีสุกอีใส”
เมื่อเป็นแล้วโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำน้อยมาก เนื่องจากร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านไวรัสขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสจะยังไม่หายไปจากร่างกายแต่เชื้ออาจหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท ภายหลังหากมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุด้านโรคภัยไข้เจ็บ หรือการเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มขึ้น
เชื้อไวรัสที่ว่านี้ก็อาจจะก่อให้เกิดโรคงูสวัด (Shingles) ได้
สาเหตุของโรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella Zoster Virus: VZV) เป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่เชื้อได้หลายทาง เช่น
- มีการสัมผัสกับการไอ จาม ของผู้ป่วย
- สัมผัสกับตุ่มน้ำ หรือของเหลวภายในตุ่มนั้น
- โรคอีสุกอีใสส่วนมากจะพบได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี แต่อาจพบได้ในผู้ใหญ่ ซึ่งอาการจะรุนแรงกว่าและเป็นนานกว่าเด็ก โดยปกติจะใช้ระยะฟักตัวประมาณ 14-17 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสก่อนที่จะแสดงอาการของโรค
หลังจากเกิดผื่นแล้วผู้ป่วยไม่ควรออกไปภายนอก และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย จากนั้นประมาณ 7-10 วันผื่นจะแห้งและตกสะเก็ด หลังจากสะเก็ดหลุดหมดจะถือว่า เป็นภาวะที่ผู้ป่วยไม่แพร่โรคสู่ผู้อื่นแล้ว
ปัจจัยเสี่ยงของการติดโรคอีสุกอีใส
- ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำจะเป็นผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคสูงกว่าคนปกติ
- หญิงตั้งครรภ์ โอกาสที่จะติดโรคสูงจะอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 และ 2 รวมถึงในช่วงสัปดาห์ที่ 13 และ 20 ของการตั้งครรภ์ด้วย อัตราความเสี่ยงจะสูงขึ้นมากที่สุดในช่วง 5 วันก่อนคลอดและ 2 วันหลังคลอด ทั้งแม่และลูก
สำหรับในกรณีของหญิงตั้งครรภ์แนะนำให้เริ่มต้นจาก การฝากครรภ์กับโรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลที่ไว้วางใจก่อนเป็นอันดับแรก ยิ่งฝากครรภ์เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น
เมื่อครรภ์อยู่ในความดูแลของแพทย์ แพทย์จะเป็นดูแลเรื่องสุขภาพของมารดาและทารกไปตลอดอายุครรภ์ ตั้งแต่อาหารการกิน วัคซีนและยาที่จำเป็น ยาที่ควรหลีกเลี่ยง กระทั่งครบกำหนดคลอดเพื่อให้มารดาและทารกปลอดภัย มีสุขภาพแข็งแรง
อาการของโรคอีสุกอีใส
ปกติจะใช้เวลาประมาณ 14-17 วันหลังจากได้รับเชื้อไวรัสก่อนที่จะแสดงอาการ
อาการเบื้องต้นคือ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัด ไข้สูง ปวดศีรษะ ไอ และจาม เบื่ออาหาร ซึ่งทำให้สับสนกับอาการไข้ทั่วไปได้ ทำให้วินิจฉัยผิด แต่หลังจาก 2-3 วันก็จะมีผื่นปรากฏขึ้นและค่อยๆ ลามทั่วร่างกาย มักเริ่มบริเวณหน้า หรือศีรษะแล้วจึงไปที่ลำตัว
ผื่นจะมีลักษณะเหมือนตุ่มน้ำและจะแตกออกในเวลา 2 วัน หลังจากนั้นก็จะตกสะเก็ด และมักหลุดไปภายใน 1-3 สัปดาห์ ซึ่งผื่นในผู้ป่วยมักมีหลายระยะ นอกจากนี้ยังมีอาการคันจนกว่าผื่นจะตกสะเก็ดหมด
ทั้งนี้ในเด็กเล็กมักไม่มีอาการนำมาก่อน
การวินิจฉัย
ในเบื้องต้นแพทย์จะตรวจดูรอยโรค หากพบผื่นแดง ก็จะซักประวัติผู้ป่วยว่า มีอาการอื่นที่สอดคล้องกับโรคอีสุกอีใสหรือไม่ ในบางรายแพทย์อาจส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อให้แน่ใจในการวินิจฉัย
การรักษา
โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่หายเองได้ ปกติแล้วแพทย์จะให้ยาที่รักษาตามอาการ ได้แก่
- ยาต้านไวรัสอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ทำให้อาการหายเร็วขึ้น แต่ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กสุขภาพดี เนื่องจากโรคสามารถหายได้เอง จึงรักษาตามอาการ เช่น ทาโลชั่นคาลาไมน์ ให้ยาลดไข้จำพวกพาราเชตามอล แต่จะมีการให้ในผู้ใหญ่ มักนิยมให้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) เพื่อลดอาการคัน และบวมแดงของผื่น ในบางครั้งอาจให้ร่วมกับยาแก้ปวดในช่วงที่ตุ่มน้ำแตก
- ยาปฏิชีวนะ จะให้ในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย (เกิดจากการเกา) แต่เกิดขึ้นได้น้อยมาก
โรคแทรกซ้อนอีสุกอีใส
การเป็นอีสุกอีใสต้องระวังภาวะติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน โดยทั่วไปอาการของโรคจะทุเลาลงภายใน 15 วัน และหลังจากเป็นโรคแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคขึ้นทำให้ไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก อย่างไรก็ตาม
ในบางรายก็ยังมีโอกาสที่เชื้อไวรัสยังคงอยู่ในปลายประสาท ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเจ็บปวด และกลายเป็นโรคงูสวัดในภายหลังได้
อย่างไรก็ตาม การเป็นอีสุกอีใสในผู้ใหญ่จะต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบ
การป้องกันโรคอีสุกอีใส
ปัจจุบันมีวัคซีนอีสุกอีใสที่สามารถใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคได้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มต่อไปนี้ไม่ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของวัคซีน
- ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรักษา เช่น ฉายรังสี หรือเคมีบำบัด
นอกจากการใช้วัคซีนแล้วยังมีวิธีอื่นที่สามารถป้องกันโรคอีสุกอีใสอีก ได้แก่
- ล้างมืออย่างสม่ำเสมอทุกครั้งหลังจับข้าวของเครื่องใช้ การออกจากบ้านไปพบปะผู้คนภายนอก
- ผู้ที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรถูกกักแยกตัวออกจากผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
ข้อควรปฏิบัติ และข้อควรระวัง เมื่อเป็นโรคอีสุกอีใส
- หยุดเรียน หรือหยุดงานเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- ไม่เกาบริเวณผื่น เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณแผลที่เกาได้
- พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากโรคได้เร็วขึ้น และเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
- บำรุงร่างกายด้วยครีมบำรุงผิว เพราะการทำให้ผิวชุ่มชื่นจะช่วยลดอาการคันได้
- ใช้ใบสะเดาใส่ลงในน้ำอุ่นแล้วอาบ เพื่อช่วยลดความคัน และช่วยลดการติดเชื้อได้
- ซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอนของผู้ป่วยด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
- หากมีตุ่มอีสุกอีใสขึ้นในปาก ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อฆ่าเชื้อ และป้องกันอาการปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย
อีสุกอีใสแม้ไม่ใช่โรคที่มีอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่หากเจ็บป่วยด้วยโรคนี้ขึ้นมาก็ควรรีบรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อลดความรุนแรงของโรค ป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และลดการแพร่กระจายของโรคไปสู่ผู้อื่น