ตรวจโรคซึมเศร้า ไม่น่ากังวลอย่างที่คิด อ่านการเตรียมตัวและการรักษาได้ที่นี่

ภาวะซีมเศร้า (Depression) เป็นภาวะทางการแพทย์ชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่ออารมณ์ โดยอาจทำรู้สึกเศร้า วิตกกังวล หมดหวัง และอาจกระทบต่อสามารถในการทำงาน เช่น ประสิทธิภาพการคิดและความจำลดลง

มีคำถามเกี่ยวกับ ซึมเศร้า? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ภาวะซึมเศร้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ และหลายคนไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของภาวะซึมเศร้าของตัวเอง หากไม่ได้รับการตรวจโรคซึมเศร้า และรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้ภาวะซึมเศร้ารุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า และนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตายได้

การทำความเข้าใจกับอาการ และการตรวจโรคซึมเศร้าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย หากมีอาการเข้าข่าย จะได้สามารถนัดหมายพบผู้เชี่ยวชาญได้ทันเวลา โรคซึมเศร้าแบ่งออกเป็นหลายระยะ สามารถรักษาให้หายได้หากเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทาง

อาการของโรคซึมเศร้า

หลายคนอาจเข้าใจว่าโรคซึมเศร้านั้นจะต้องมีอาการซึม เศร้า เพียงอย่างเดียว เมื่อตนเองหรือคนใกล้ชิดไม่ได้มีอาการดังกล่าว จึงอาจมองข้ามเรื่องโรคซึมเศร้าไปได้

แต่แท้จริงแล้วอาการของโรคซึมเศร้านั้นมีความหลากหลาย และแต่ละคนอาจแสดงออกไม่เหมือนกัน โดยสามารถแบ่งคร่าวๆ ได้เป็นอาการทางใจ และอาการทางกาย ดังนี้

อาการทางใจของโรคซึมเศร้า

  • รู้สึกเศร้ามาก หมดหวัง หรือวิตกกังวล
  • หมดความสนุกในสิ่งที่เคยชอบ
  • หงิดหงิดง่าย หรืออารมณ์แปรปรวน
  • ไม่มีสมาธิ หรือจดจำสิ่งต่างๆ ได้แย่ลง
  • คิดทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย

อาการทางกายของโรคซึมเศร้า

  • ปวดหลัง
  • ปวดหัว
  • ปวดข้อ
  • ปวดตามแขนขา
  • พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป เช่น กินมากเกินไป หรือกินน้อยเกินไป ปวดท้อง ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
  • พฤติกรรมการนอนเปลี่ยนไป เช่น นอนไม่หลับ หรือหลับมากไป
  • เหนื่อยง่าย
  • เคลื่อนไหวช้า

อย่างไรก็ตาม อาการของแต่ละคนอาจแสดงออกไม่เหมือนกัน และอาจไม่ได้มีอาการครบตามที่กล่าวมาทั้งหมด

ใครควรตรวจโรคซึมเศร้า

ผู้ที่มีอาการ หรือมีคนใกล้ชิดมีอาการดังต่อไปนี้ ควรพิจารณาเข้ารับการตรวจโรคซึมเศร้าเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

  • มีอาการเข้าข่ายภาวะซึมเศร้าจนรบกวนการใช้ชีวิต เช่น กระทบความสัมพันธ์และการทำงาน แต่ยังไม่รู้วิธีจัดการกับปัญหาเหล่านี้
  • มีอาการเข้าข่ายภาวะซึมเศร้ายาวนานกว่า 2 สัปดาห์
  • มีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย วางแผนฆ่าตัวตาย รวมถึงเคยพยายามฆ่าตัวตาย

โรคซึมเศร้ามีกี่ประเภท?

แม้คำที่หลายคนได้ยินบ่อยที่สุดจะเป็นคำว่า “โรคซึมเศร้า” แต่ความจริงแล้วโรคซึมเศร้านั้นสามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายประเภท ดังนี้

  • โรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder: MDD) โรคซึมเศร้าประเภทนี้จะมีอาการซึมเศร้ารุนแรงนานกว่า 2 สัปดาห์ จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
  • โรคไบโพาร์ (Bipolar Depression) หรือโรคอารมณ์ 2 ขั้ว จะให้อารมณ์สลับไปมาระหว่างอารมณ์ดีมากกับก้าวร้าวหรือซึมเศร้ามาก โดยในช่วงที่ซึมเศร้าอาจรู้สึกหมดหวังและไม่มีแรง
  • ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Perinatal and Postpartum Depression) คืออาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในช่วงตั้งครรภ์และอาจยาวนานได้อีกเป็นปีหลังคลอดแล้ว โดยอาจรู้สึกกังวล เศร้า และเครียด
  • โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (Persistent Depressive Disorder: PDD) หรือ Dysthymia เป็นโรคซึมเศร้าชนิดที่มีความรุนแรงน้อยกว่าแบบ MDD แต่มีอาการต่อเนื่องยาวนานกว่า 2 ปีขึ้นไป ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าประเภทนี้จะมีอาการรบกวนชีวิตประจำวันเป็นระยะ แต่ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
  • กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนชนิดรุนแรง (Premenstrual Dysphoric Disorder: PMDD) เกิดขึ้นกับผู้หญิงบางคนในช่วงก่อนมีประจำเดือน อาจมีอาการซึมเศร้ารุนแรง วิตกกังวล เครียด บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นคลุ้มคลั่ง
  • โรคซึมเศร้าแบบจิตหลอน (Psychotic Depression) เป็นอาการซึมเศร้ารุนแรง หลงผิด และอาจเห็นภาพหลอน เชื่อในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
  • โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder: SAD) เป็นอาการซึมเศร้าที่เกิดขึ้นในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี มักเป็นฤดูหนาวที่กลางคืนยาวกว่ากลางวัน แต่อาการจะค่อยๆ หายไปในไม่กี่เดือน
โรคซึมเศร้าประเภทต่างๆ

อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้าแบบใด ก็ไม่ควรตัดสินด้วยตัวเองว่าเป็นหรือไม่ แต่ควรเข้ารับการตรวจโรคซึมเศร้าเพื่อให้จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญช่วยวินิจฉัย เพราะจิตแพทย์มีความคุ้นเคยกับผู้รับบริการจำนวนมาก และอาจเข้าใจปัญหาที่คุณเผชิญอยู่ได้มากกว่า

การตรวจโรคซึมเศร้าทำอย่างไร?

หากสำรวจแล้วว่ามีอาการเข้าข่ายโรคซึมเศร้ายาวนานกว่า 2 สัปดาห์ หรืออาการต่างๆ กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน อาจพิจารณาเข้าพบจิตแพทย์เพื่อตรวจโรคซึมเศร้า

โดยจิตแพทย์อาจตรวจโรคซึมเศร้าได้จาก 2 วิธีหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. ตรวจโรคซึมเศร้าด้วยการพูดคุย

จิตแพทย์อาจประเมินอาการคุณจากการพูดคุยและถามคำถามต่างๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า เช่น อารมณ์ความรู้สึกของคุณในแต่ละวัน พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ งานอดิเรก รูปแบบการใช้ชีวิต ประวัติสุขภาพของตนเอง และครอบครัว

ตัวอย่างข้อมูลที่จิตแพทย์อาจค้นหาจากการพูดคุยกับคุณ เช่น

  • อารมณ์เศร้าหรือหดหู่เกือบทั้งวันเป็นประจำ
  • รู้สึกหมดหวัง ไร้ค่า หรือรู้สึกผิดเกือบทุกวัน
  • หมดความสนใจกับสิ่งที่เคยชอบ
  • น้ำหนักตัวเปลี่ยนไปเกิน 5% ภายใน 1 เดือน (ทั้งเพิ่มและลด)
  • อาการนอนไม่หลับ หรือหลับมากเกินไปเกือบทุกวัน
  • รู้สึกกระสับกระส่าย หรืออ่อนแรงจนคนอื่นสังเกตได้
  • อ่อนเพลีย หรือไม่มีแรงเกือบทุกวัน
  • ไม่มีสมาธิ หรือมีปัญหาด้านการตัดสินใจ
  • มีความคิดวนซ้ำๆ เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย หรือพยายามฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าอาจมีอาการแตกต่างกันออกไป เช่น บางคนแยกตัวจากสังคม บางคนหงุดหงิดง่าย บางคนกินหรือนอนมากกว่าปกติ

ดังนั้น ในการตรวจวินิจฉัยของแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกันออกไป ข้อมูลด้านบนเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นที่จิตแพทย์อาจใช้ร่วมกับการตรวจโรคซึมเศร้าเท่านั้น

2. ตรวจโรคซึมเศร้าทางห้องปฏิบัติการ

ในบางกรณีจิตแพทย์อาจพิจารณาให้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสาเหตุของอาการทางกาย รวมถึงสาเหตุที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า เช่น ไวรัส ยา ฮอร์โมน หรือภาวะพร่องวิตามิน

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่ใช่วิธีที่ใช้ในการตรวจโรคซึมเศร้ามากเท่ากับการตรวจด้วยการพูดคุย

การเตรียมตัวก่อนไปตรวจโรคซึมเศร้า

หลายคนอาจไม่เคยไปตรวจโรคซึมเศร้า จึงไม่ทราบว่าควรเตรียมตัวอย่างไรในการตรวจ แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าวิธีหลักในการตรวจโรคซึมเศร้ามักเป็นการพูดคุย และซักประวัติ

ดังนั้น ก่อนถึงวันนัดจึงควรจดข้อกังวล ไลฟ์สไตล์ และอาการเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าที่คุณมีเอาไว้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างหัวข้อที่ควรจดเตรียมไว้ เช่น

  • สุขภาพจิต และสุขภาพกายของคุณ
  • อาการต่างๆ ที่เป็น หรือสงสัยว่าเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
  • พฤติกรรมผิดปกติจากที่เคยทำ
  • ประวัติอาการป่วยที่เคยเป็น
  • ประวัติการเป็นโรคซึมเศร้าของคนในครอบครัว (หากมี)
  • ประวัติการใช้ยา อาหารเสริม ทั้งที่เคยใช้และกำลังใช้อยู่ รวมถึงผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์
  • รูปการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหาร การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้สารเสพติด
  • พฤติกรรมการนอน หรือปัญหาเกี่ยวกับการนอนที่พบ
  • สาเหตุความเครียดที่กำลังเผชิญ เช่น ปัญหาแต่งงาน ปัญหาที่ทำงาน ปัญหาการเข้าสังคม
  • คำถามเพิ่มเติมที่อยากถามเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
การเตรียมตัวก่อนไปพบจิตแพทย์

โรคซึมเศร้ามีกี่ระยะ ใช้เวลารักษานานแค่ไหน

ระยะที่ 1 : ช่วงอาการหนัก (Acute Phase)

ผู้ป่วยมักจะมีอาการเบื่อหน่าย มีความคิดด้านลบ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ขาดสมาธิมีปัญหาด้านการนอน โดยบางคนอาจจะพบว่ามีอาการนอนไม่หรับ หรือนอนมากเกินไป บางครั้งมักจะมีความรู้สึกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ส่งผลกระทบไปถึงการใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนหรือการทำงาน

มีคำถามเกี่ยวกับ ซึมเศร้า? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ปกติใช้เวลารักษาประมาณ 6-8 สัปดาห์

ระยะที่ 2 ช่วงระยะเริ่มมีสติ (Continuation Phase)

ผู้ป่วยที่ผ่านการรักษาบำบัดมาแล้ว อาการต่างๆ ที่รบกวนจิตใจจะเริ่มทุเลาเบาบางลง เริ่มมีสติและกลับมาใช้ชีวิตได้มากยิ่งขึ้น แต่ในบางครั้งผู้ป่วยยังมีโอกาสที่จะพบว่าภาวะหม่นๆ ในจิตใจอยู่ โดย การดูแล ผู้ป่วยซึมเศร้า ในระยะนี้จะต้องพยายามประคับประคอง ไม่ให้อาการที่มีกลับมารุนแรง ผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแล และกินยาอย่างต่อเนื่อง

ปกติใช้เวลารักษาประมาณ 16-20 สัปดาห์

ระยะที่ 3 ช่วงอาการดี (Maintenance Phase)

ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำงาน เรียน หรือเข้าสังคมเหมือนคนอื่น ๆ สิ่งสำคัญที่สุดในระยะนี้ คือ จะต้องดูแลไม่ให้ผู้ป่วยกลับไปเป็นโรคซึมเศร้าอีกครั้ง เพราะผู้ป่วยบางรายที่หยุดยาไปสามารถกลับมาป่วยซึมเศร้าได้อีกครั้ง อีกทั้งผู้ป่วยบางคนอาจจะหยุดยาเองซึ่งจะต้องมีการดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด

ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับหลายปัจจัย

โรคซึมเศร้ารักษาอย่างไร?

หากตรวจโรคซึมเศร้ามาแล้วจิตแพทย์วินิจฉัยว่าเป็น ก็มักจะมีการกำหนดแนวทางการรักษาให้ โดยอาจใช้หลายวิธีร่วมกันขึ้นกับดุลพินิจของจิตแพทย์ผู้ทำการรักษา โดยวิธีต่างๆ ที่เลือกใช้ อาจมีดังนี้

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยจิตบำบัด

การทำจิตบำบัด (Psychotherapy) เป็นวิธีทั่วไปที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าโดยอาศัยการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นนักจิตบำบัดหรือจิตแพทย์

การทำจิตบำบัดมีด้วยกันหลายประเภท ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นคนกำหนดแนวทางการบำบัดให้ตามความเหมาะสม โดยจุดประสงค์หลักๆ ของการทำจิตบำบัด อาจมีดังนี้

  • ช่วยปรับความคิดให้เข้ากับวิกฤติหรือปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
  • ระบุความคิดและพฤติกรรมเชิงลบ จากนั้นแทนที่ด้วยความคิดเชิงบวก
  • พัฒนาความสัมพันธ์และประสบการณ์เชิงบวกต่อผู้อื่น
  • ช่วยกันหาวิธีจัดการกับปัญหา
  • ระบุประเด็นและพฤติกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อโรคซึมเศร้า และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น
  • ฟื้นฟูความพึงพอใจในชีวิต และความรู้สึกควบคุมชีวิตของคุณ
  • เรียนรู้วิธีตั้งเป้าหมายให้กับชีวิต
  • พัฒนาทักษะการยอมรับความทุกข์โดยใช้พฤติกรรมเชิงบวก

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยยา

จิตแพทย์อาจจ่ายยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) เพื่อช่วยปรับสารเคมีในสมอง ซึ่งอาจใช้เวลา 1-2 สัปดาห์กว่าจะเริ่มเห็นผล

แต่ยาต้านซึมเศร้าอาจมีผลข้างเคียงต่างกันออกไป หากผลข้างเคียงกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่ควรหยุดยาเองเพราะอาจทำให้เกิดอาการขาดยาได้ ควรปรึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของจิตแพทย์

หลายครั้งจิตแพทย์อาจเปลี่ยนยาให้คุณหลายชนิดจนกว่าจะเจอยาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งผลข้างเคียงจะค่อยๆ ลดลงเมื่อร่างกายปรับตัวได้

อย่างไรก็ตาม แม้ยาส่วนใหญ่จะปลอดภัย แต่ในบางกรณีผู้ที่อายุต่ำกว่า 25 ปีอาจมีโอกาสคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายมากขึ้นหลังใช้ยาที่แพทย์จ่ายให้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกๆ หลังจ่ายยาหรือปรับจำนวนยา ดังนั้นควรระมัดระวังผู้ที่ใช้ยาอย่างใกล้ชิด และปรึกษาจิตแพทย์ทันทีที่ผู้ใช้ยาเริ่มมีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย

การรักษาทางเลือกสำหรับโรคซึมเศร้า

การแพทย์แบบบูรณาการเชื่อว่าการมีจิตใจและร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกัน (Mind-Body Connections) เป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดี ทำให้ผ่อนคลาย จิตใจสงบ ซึ่งอาจใช้บรรเทาอาการให้คนที่เป็นโรคซึมเศร้าแบบไม่รุนแรงได้ ตัวอย่างการรักษาทางเลือก อาจมีดังนี้

  • การฝังเข็ม
  • โยคะ หรือไทเก๊ก
  • การเจริญสติ (Meditation)
  • การทำจินตภาพบำบัด (Guided Imagery)
  • การนวดผ่อนคลาย
  • ดนตรีบำบัด
  • การออกกำลังกายแบบแอโรบิก

อย่างไรก็ตาม การรักษาดังกล่าวควรทำควบคู่กับการรักษาโดยจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากสงสัยว่าตนเองเป็นโรคซึมเศร้าก็ควรเข้าตรวจโรคซึมเศร้าเพื่อวินิจฉัยให้ชัดเจนเสียก่อน

การบรรเทาโรคซึมเศร้าด้วยตัวเอง

การปรับเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน อาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้

  • เรียนรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้า การหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอาจช่วยให้คุณมีแรงจูงใจที่จะปฏิบัติตามแผนการรักษามากขึ้น รวมถึงทำความเข้าใจกับครอบครัวเพื่อให้พวกเขาเข้าใจและสนับสนุนได้อย่างถูกวิธี
  • คอยสังเกตสัญญาณเตือนความซึมเศร้า จิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดอาจแนะนำให้สังเกตว่าอะไรที่กระตุ้นให้เกิดอาการซึมเศร้า รวมถึงอาจบอกคนใกล้ชิดที่ไว้ใจให้ช่วยกันสังเกตสิ่งกระตุ้น ก็จะช่วยให้คุณวางแผนจัดการกับความซึมเศร้าได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด แม้ทั้ง 2 อย่างนี้จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นในระยะสั้น แต่จะทำให้อาการแย่ลงในระยะยาว และทำให้โรคซึมเศร้าเป็นมากขึ้นกว่าเดิม
  • ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี การกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงทำกิจกรรมที่คุณชื่นชอบ ล้วนมีผลดีต่อสุขภาพจิตทั้งสิ้น
  • ปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรละเลยการไปพบนักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์ตามนัดแม้คุณจะรู้สึกดีแล้วก็ตาม รวมถึงไม่ควรหยุดยาเองโดยที่จิตแพทย์ไม่ได้บอก เพราะอาจทำให้อาการซึมเศร้ากลับมาได้

การรักษาโรคซึมเศร้าด้วยการกระตุ้นสมอง

การบำบัดด้วยการกระตุ้นสมอง (Brain Stimulation Therapies) แบ่งได้ 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  • การรักษาด้วยไฟฟ้า (Electroconvulsive Therapy: ECT) เป็นการปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านสมอง เพื่อกระตุ้นการทำงานและสารสื่อประสาทในสมอง ช่วยบรรเทาความซึมเศร้าลง วิธีนี้มักใช้กับผู้ที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล หรือไม่สามารถรักษาด้วยยาได้
  • การรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Transcranial magnetic stimulation: TMS) เป็นการติดอุปกรณ์ไว้บริเวณหนังศีรษะก่อนจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กกระตุ้นเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และความซึมเศร้า มักใช้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ตอบสนองต่อยาได้ไม่ดี

การดูแลตัวเองหลังตรวจโรคซึมเศร้า

หลังจากตรวจโรคซึมเศร้าแล้วพบว่าคุณเป็น จิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้คุณสิ่งต่อไปนี้เพื่อให้คุณรับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น

  • ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น พยายามลดภาระผูกพันต่างๆ ให้มากที่สุดหากเป็นไปได้ รวมถึงตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลกับตัวเอง และอนุญาตให้ตัวเองทำสิ่งต่างๆ น้อยลงได้เมื่อรู้สึกแย่
  • เขียนบันทึก การเขียนบันทึกเป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ แผนการรักษา โดยเป็นหนึ่งในวิธีอนุญาตให้ตัวเองปลดปล่อยความเจ็บปวด ความโกรธ ความกลัว และอารมณ์อื่นๆ ออกมาบนหน้ากระดาษ
  • อ่านหนังสือหรือเว็บไซต์เชิงบวก บางกรณีจิตแพทย์หรือนักจิตบำบัดอาจเป็นผู้แนะนำหนังสือ หรือเว็บไซต์ให้อ่านด้วยเช่นกัน
  • หลีกเลี่ยงการแยกตัวจากคนอื่น พยายามมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางสังคม ครอบครัว หรือเพื่อนอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจเข้ากลุ่มผู้สนับสนุนและช่วยเหลือคนเป็นโรคซึมเศร้า ก็อาจช่วยให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้
  • เรียนรู้วิธีผ่อนคลาย และจัดการความเครียด เช่น การเจริญสติ การทำสมาธิ โยคะ ไทเก๊ก เป็นต้น
  • จัดตารางเวลาในแต่ละวัน การวางแผนว่าจะทำอะไรในแต่ละวันตอนไหนบ้าง อาจช่วยให้คุณจัดระเบียบ และรู้สึกว่าควบคุมวันของคุณได้ดีขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการตัดสินใจเมื่อเกิดความรู้สึกซึมเศร้า เพราะอารมณ์ดังกล่าวอาจทำให้คุณใช้ความคิดได้ไม่เต็มที่

โดยสรุปแล้วโรคซึมเศร้าเป็นหนึ่งในสิ่งที่กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันของหลายๆ คนอย่างมาก เพราะมีอาการหลากหลายแบบแตกต่างกันไปในแต่ละคน และอาจบานปลายไปสู่การทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้

ที่สำคัญคือโรคซึมเศร้ามีด้วยกันหลายประเภท จึงควรเข้ารับการตรวจโรคซึมเศร้ากับจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้รักษาได้อย่างถูกวิธี

แม้โรคซึมเศร้าจะดูน่ากังวลในความคิดของใครหลายคน แต่ก็มีคนเป็นจำนวนมากที่กำลังเผชิญอยู่เช่นกัน การเดินเข้าไปพบจิตแพทย์จึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรอีกต่อไป และที่สำคัญโรคซึมเศร้าสามารถรักษาให้หายได้เช่นเดียวกับโรคอื่นๆ

มีคำถามเกี่ยวกับ ซึมเศร้า? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ