บลูเบอร์รี่ มีประโยชน์อย่างไรบ้าง


บลูเบอร์รี่ ดียังไง

บลูเบอร์รี ผลไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศไทย ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยว จัดเป็นของทานเล่นระหว่างวันที่ช่วยให้อิ่มท้องได้ดีโดยไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้บลูเบอร์รียังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย

บลูเบอร์รีคืออะไร

บลูเบอร์รี (Blueberry) เป็นพืชล้มลุกทรงพุ่มขนาดเล็ก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Vaccinium spp. จัดเป็นพืชในวงศ์กุหลาบป่า (Ericaceae) มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาเหนือ

ลักษณะใบต้นเบอร์รีเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ มีก้านใบยาวเป็นสีเขียว ดอกออกเป็นช่อ มีดอกย่อยเป็นรูปทรงระฆัง กลีบเป็นสีขาว ชมพู หรือแดง มีกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว

ผลเบอร์รีมีขนาดเล็กกลม เมื่อผลยังอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม หรือสีฟ้าเข้มอมม่วง ส่วนผลแก่เป็นสีม่วงแดง ตัวผลเนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติหวานอมเปรี้ยวแล้วแต่สายพันธุ์

ขนาดของต้นบลูเบอร์รีมีความสูงไปตามความแตกต่างของสายพันธุ์ โดยมีตั้งแต่ 10 เซนติเมตรไปจนถึง 10 เมตร

มีการนำบลูเบอร์รีมาแปรรูป กลายเป็นเครื่องดื่ม อาหาร เช่น น้ำบลูเบอร์รี แยมบลูเบอร์รี บลูเบอร์รีอบแห้ง บลูเบอร์รีแช่แข็ง และบางครั้งยังใช้บลูเบอร์รีเป็นส่วนประกอบในของหวาน เช่น เค้กรสบลูเบอร์รี โยเกิร์ตรสบลูเบอร์รี

กลิ่นหอมและรสชาติของบลูเบอร์รียังถูกนำมาดัดแปลงให้อยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ในบ้านหลายอย่าง เช่น น้ำหอมกลิ่นบลูเบอร์รี สบู่ หรือแชมพูกลิ่นบลูเบอร์รี

สารอาหารในบลูเบอร์รี

บลูเบอร์รี 148 กรัมให้พลังงานประมาณ 84 แคลอรี แบ่งออกเป็น

  • ไฟเบอร์ 4 กรัม
  • โปรตีน 1.1 กรัม
  • ไขมัน 0.49 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 21.45 กรัม
  • แคลเซียม 9 มิลลิกรัม
  • น้ำตาล 14.74 กรัม

นอกจากนี้บลูเบอรียังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญต่อร่างกายหลายชนิด เช่น ธาตุเหล็ก 0.41 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 114 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 9 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของบลูเบอร์รี

บลูเบอร์รีอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น

1. เป็นสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ

บลูเบอร์รีเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงความเสื่อมของร่างกายก่อนวัยอันควรได้

สารต้านอนุมูลอิสระที่มีในบลูเบอรีมากที่สุดคือสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenols) ชื่อว่า "ฟลาโวนอยด์"

สารฟลาโวนอยด์ยังแบ่งออกได้อีกหลายกลุ่ม ในกลุ่มที่มีในบลูเบอร์รีมากและดีต่อสุขภาพที่สุดก็คือ สารแอนโทไซนานิน (Anthocyanins) ซึ่งพบได้มากในผลไม้สีน้ำเงิน หรือม่วง

2. ป้องกันการเกิดภาวะเครียดจากออกซิเดชัน

ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (Oxidative damage) คือ ภาวะที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระในร่างกายเข้าไปทำลายระบบการทำงานของเซลล์ โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดขึ้นจากไขมันไม่ดี (Low Density Lipoprotein: LDL) ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจได้

แต่สารต้านอนุมูลอิสระในบลูเบอร์รีจะช่วยกำจัดไขมันไม่ดีในเส้นเลือดให้ลดลงได้ ดังนั้นโอกาสการเกิดโรคร้ายชนิดนี้จึงน้อยลง

3. บำรุงระบบการทำงานของสมองและความทรงจำ

สารต้านอนุมูลอิสระจากบลูเบอร์รีมีประโยชน์ในการบำรุงเซลล์ประสาท และสมองส่วนที่สำคัญต่อเชาว์ปัญญา รวมถึงช่วยปรับความมั่นคงทางอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้บลูเบอร์รียังช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมในหญิงสูงวัยได้ด้วย ทั้งยังช่วยเสริมระบบการประสานงานของระบบประสาทด้วย

4. ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน

สารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รีมีประโยชน์ในการบำรุงประสิทธิภาพของการผลิตอินซูลิน รวมถึงบำรุงการทำงานของน้ำตาลกลูโคสในเลือด จึงสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้

5. รักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

การดื่มน้ำแครนเบอรี่ หรือน้ำบลูเบอรี อาจเป็นตัวเลือกหนึ่งในการรักษาอาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ 

6. บำรุงผิวพรรณ

คุณผู้หญิงหลายคนคงทราบกันดีว่า บลูเบอร์รีเป็นหนึ่งในผลไม้ช่วยบำรุงสุขภาพผิวได้ เพราะบลูเบอร์รีอุดมไปด้วยสารคอลลาเจนและวิตามินซีซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวอ่อนนุ่ม ลดริ้วรอยแห่งวัย

นอกจากนี้วิตามินซีในบลูเบอร์รียังช่วยป้องกันผิวหนังจากปัญหามลภาวะทางอากาศ ฝุ่นควัน และแสงแดดที่ทำให้ผิวเสียได้

7. บำรุงสุขภาพกระดูก

สารอาหาร แร่ธาตุ วิตามินในบลูเบอร์รีไม่ว่าจะเป็นธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม แคลเซียม สังกะสี และวิตามินเค ล้วนมีส่วนสำคัญในการบำรุงความแข็งแรงของกระดูก

โดยเฉพาะธาตุเหล็กและสังกะสี มีบทบาทสำคัญมากในการสร้างความแข็งแรงของกระดูก รวมถึงความยืดหยุ่นของข้อต่อต่างๆ

8. ช่วยให้อิ่มท้องได้นาน

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า บลูเบอร์รีถือเป็นอาหารรับประทานเล่นระหว่างวันได้ดี เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ทำให้อิ่มท้องได้นาน รวมถึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้ดี

ข้อควรระวังในการรับประทานบลูเบอร์รี

1. อาจมีสารพิษตกค้าง

การเพาะปลูกบลูเบอร์รีในหลายพื้นที่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ยากำจัดศัตรูพืช สารควบคุมการเจริญเติบโต หรือสารพิษอื่นๆ ซึ่งอาจยังตกค้างอยู่ในผลไม้ได้

2. อาจก่อให้เกิดภาวะแพ้อาหาร

เช่นเดียวกับอาการแพ้อาหารชนิดอื่นๆ หากมีอาการแพ้ผลไม้โดยเฉพาะผลไม้ในตระกูลเบอร์รี ก็มีความเสี่ยงที่จะแพ้บลูเบอร์รีด้วย ดังนั้นผู้เป็นโรคภูมิแพ้อาหารจึงควรระมัดระวังการรับประทานบลูเบอร์รีให้ดี

หรือหากรับประทานบลูเบอร์รีแล้วมีอาการคันระคายเคืองผิว มีผื่นลมพิษขึ้น ปากบวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก จามเรื้อรังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะนั่นคือสัญญาณของอาการแพ้อาหาร

3. อาจรับไฟเบอร์เกินขนาด

ไฟเบอร์ในบลูเบอร์รี่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็จริง แต่หากรับประทานมากเกินไป กระเพาะอาหารจะเกิดแก๊สจำนวนมาก อาจเกิดอาการตัวบวม เป็นตะคริวขึ้นได้

นอกจากนี้การรับไฟเบอร์เข้าร่างกายมากเกินไปยังอาจเข้าไปขัดขวางการดูดซึมแร่ธาตุบางชนิด เช่น ธาตุเหล็กสารอาหารแคลเซียม

หากไม่ทราบว่า ควรรับไฟเบอร์ในปริมาณเท่าไรจึงจะเหมาะสม อาจควรลองไปขอคำแนะนำจากแพทย์

4. ส่งผลกระทบต่อยาบางชนิด

บลูเบอร์รีอาจส่งผลกระทบต่อยาบางชนิด โดยเฉพาะยาเจือจางเลือด (Blood thinner) เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากวิตามินเคในบลูเบอร์รี ส่งผลให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์ทำงานได้เท่าที่ควร

ผู้ที่รับประทานยาชนิดนี้ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานบลูเบอร์รีก่อนว่า เหมาะสมและส่งผลกระทบต่อยาหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยต่อระบบไหลเวียนเลือดในร่างกาย

บลูเบอร์รีถือเป็นผลไม้รสอร่อยที่ให้ประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเลือกซื้อและรับประทานบลูเบอร์รีอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพในอนาคต


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจวิตามิน


บทความแนะนำ


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat