shutterstock 2422881097 scaled

รวมเรื่องที่ควรรู้ก่อนปลูกผม ตอบคำถามโดยแพทย์

ผมร่วง ผมบาง เป็นหนึ่งในปัญหาที่คอยกวนใจใครหลายคน เพราะเส้นผมก็เป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้ดูดีขึ้น จึงไม่แปลกเลยที่เมื่อเกิดปัญหานี้ หลายๆ คนจึงมักจะหาวิธีต่างๆ เพื่อเร่งฟื้นฟูเส้นผมและหนังศีรษะให้กลับมาหนาแน่นเหมือนเดิม

ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาผมบาง ศีรษะล้านได้อย่างมีประสิทธิภาพคงหนีไม่พ้นการปลูกผม แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การปลูกผมก็นับเป็นหนึ่งในการศัลยกรรมที่ผู้เข้ารับบริการควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจทำ

โดย HDmall.co.th ร่วมกับ แพทย์หญิงอริยาภรณ์ (จรัสนัฐ) หล่อธราประเสริฐ หรือ หมอเจิน แพทย์ประจำ Vital Glow Skin & Aesthetic ที่มีประสบการณ์ในการปลูกผมกว่า 10 ปี และปลูกผมมามากกว่า 3,000 เคส จะมาให้คำตอบและคลายทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการปลูกผม เพื่อให้ทุกคนมั่นใจขึ้นอีกขั้นก่อนตัดสินใจปลูกผมกัน

ปลูกผมคืออะไร?

การปลูกผม (Hair Transplantation) คือ หนึ่งในวิธีการรักษาปัญหาผมร่วง ผมบางที่มีประสิทธิภาพ ทำได้โดยการย้ายเซลล์รากผมจากบริเวณที่มีเซลล์รากผมแข็งแรงและได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนน้อยที่เรียกว่า “บริเวณเซฟโซน (Safe Zone)” ไปยังบริเวณที่มีปัญหาผมบาง ศีรษะล้าน

โดยบริเวณเซฟโซนในการปลูกผมก็คือ บริเวณที่มีการเติบโตของเส้นผมที่แข็งแรงและมีแนวโน้มว่าจะไม่หลุดร่วงตามธรรมชาติ เพราะบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT (Dihydrotestosterone) น้อยมาก ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลง โดยทั่วไปบริเวณเซฟโซนจะอยู่ที่ท้ายทอยและหลังกกหู 

ปลูกผมเจ็บมั้ย?

โดยทั่วไปแล้ว คนไข้มักจะเกิดความเจ็บปวดในขณะฉีดยาชาเท่านั้น แต่ในขั้นตอนการปลูกผมคนไข้จะไม่เกิดความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ หรืออาจเจ็บปวดได้เล็กน้อย ทั้งนี้ความรู้สึกเจ็บขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

การปลูกผมมีกี่แบบ?

การปลูกผมสามารถทำได้หลายวิธี แต่ส่วนใหญ่มักจะแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ดังนี้

1. การปลูกผมแบบตัดหนังศีรษะ

การปลูกผมแบบตัดหนังศีรษะ (Follicular Unit Hair Transplant : FUT) เป็นวิธีการปลูกผมแบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะทำการผ่าตัดหนังศีรษะบริเวณด้านหลัง เช่น บริเวณท้ายทอย หรือหลังกกหูทั้งสองข้างออกมาเป็นชิ้นยาวๆ ก่อนนำชิ้นเนื้อมาส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์พื่อแยกกอรากผมแต่ละกอออกจากกัน จากนั้นจะนำกอที่เหมาะสมที่สุดไปปลูกลงบริเวณที่มีปัญหา

วิธีนี้เป็นการปลูกผมที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ได้จำนวนกราฟต์เยอะ อย่างไรก็ตาม วิธีนี้จะมีการผ่าตัดผิวหนังออกมาบางส่วน ทำให้เมื่อเย็บผิวหนังส่วนที่เหลือติดกัน อาจจะมีแผลเป็นเป็นเส้นยาว ถ้าในผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นนูนก็มีโอกาสเกิดแผลเป็นได้ง่าย และเสี่ยงติดเชื้อได้มากกว่า

2. การปลูกผมแบบไม่ผ่าตัด

การปลูกผมแบบเจาะรากผม (Follicular Unit Extraction/Excision) เป็นวิธีปลูกผมที่พัฒนามาจากการปลูกผมแบบ FUT โดยเปลี่ยนจากการผ่าตัดหนังศีรษะเพื่อเก็บกอผม มาเป็นการใช้เครื่องเจาะเอาเฉพาะกราฟต์ที่ต้องการออกมาจากบริเวณท้ายทอยหรือหลังกกหูแทน ก่อนจะนำกอผมนั้นไปปลูกลงบริเวณที่ต้องการ

การปลูกผมแบบ FUE จึงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากหลังทำไม่ก่อให้เกิดแผลเย็บ แต่จะทำให้เกิดเป็นจุดแผลสีขาวขนาดเล็กๆ เท่านั้น โดยผลลัพธ์ยังคงมีประสิทธิภาพเหมือนกับการปลูกผมแบบ FUT

นอกจากนี้ ในแต่ละสถานพยาบาลยังอาจมีชื่อเรียกวิธีปลูกผมแบบเจาะรากผมที่แตกต่างกันออกไปด้วย เช่น เทคนิค NHI, เทคนิค DHI หรือ Long-Hair FUE ซึ่งส่วนมากเคสที่เข้ามารับบริการที่ Vital Glow Skin & Aesthetic มักเลือกปลูกผมแบบเจาะรากผม เพราะแผลหายเร็ว ใช้เวลาในการพักฟื้นน้อย และหลังรับบริการสามารถใช้ชีวิตได้ปกติเร็วกว่า แต่ทั้งนี้ควรเข้ามาปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนปลูกผม

การปลูกผมเหมาะกับใครบ้าง?

การปลูกผมสามารถแก้ปัญหาหนังศีรษะได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น

  • ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางจากกรรมพันธุ์
  • ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบางที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่เห็นผล
  • ผู้ที่มีปัญหาหน้าผากกว้าง แนวผมร่นถอยหลังขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการสร้างแนวผมใหม่ เพื่อให้กรอบหน้าดูชัดเจนและสวยงามขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิง และ Transgender

นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านก็สามารถเข้ารับบริการปลูกผมได้เช่นกัน แต่แพทย์จะต้องประเมินก่อนว่าผมบริเวณที่แข็งแรงมีจำนวนกราฟต์ผมมากพอที่จะนำมาปลูกในบริเวณที่มีปัญหาหรือไม่

รวมถึงผู้ที่มีปัญหาศีรษะล้านด้านหน้าและมีปัญหาผมบางบริเวณกลางศีรษะก็สามารถเข้ารับบริการปลูกผมได้ โดยแพทย์จะประเมินกราฟต์ผมที่ต้องใช้ในการรักษาศีรษะด้านหน้าร่วมกับประเมินว่าปัญหาผมบางที่กลางศีรษะบางมากพอที่จะรักษาด้วยการปลูกผมหรือไม่ หากผมยังไม่บางมาก แพทย์จะแนะนำให้รักษาด้วยวิธีอื่นๆ แทน เช่น ฉีด PRP หรือฉีด Growth Factor เพื่อลดการรบกวนเซลล์รากผม

ค่าใช้จ่ายในการปลูกผมขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง?

การปลูกผมเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญของแพทย์เป็นหลัก เพราะเซลล์รากผมเป็นเซลล์ในร่างกายที่มีอยู่อย่างจำกัด หากรับบริการกับแพทย์ที่ขาดประสบการณ์หรือให้บริการที่มีราคาถูกมากเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่อการปลูกผมไม่สำเร็จ รวมถึงสูญเสียเซลล์รากผมเดิมที่มีอยู่ด้วย

ดังนั้นจึงสังเกตได้ว่า ยิ่งแพทย์มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการปลูกผมมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ราคาในการปลูกผมสูงขึ้นเท่านั้น เพราะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและมีประสิทธิภาพมากกว่า

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการปลูกผมยังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น จำนวนกราฟต์ที่ต้องการปลูก, เทคนิคที่ใช้, ความยากง่ายในแต่ละเคส รวมถึงความน่าเชื่อถือของแต่ละสถานพยาบาล

วิธีการประเมินเคสปลูกผมของคุณหมอ

สำหรับวิธีการประเมินเคสปลูกผม โดยทั่วไปแล้วคุณหมอจะพิจารณาจากจำนวนกราฟต์ผมที่ต้องใช้ ร่วมกับประเมินว่าผมด้านหลังมีจำนวนเพียงพอที่จะใช้ในการรักษาหรือไม่ ซึ่งการพิจารณาแบบนี้จะทำให้คุณหมอสามารถเลือกเทคนิคที่เหมาะสมให้กับคนไข้ได้

ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีปัญหาผมด้านหน้าบาง แต่บริเวณด้านหลังมีผมหนามากๆ ปัญหาแบบนี้มักใช้จำนวนกราฟต์ผมไม่มากและสามารถเลือกใช้วิธีใดก็ได้ในการปลูกผม เพราะมีจำนวนเซลล์ผมด้านหลังไว้รองรับเพียงพอ 

ส่วนผู้ที่มีผมด้านหน้าและด้านหลังบางมากๆ จนมีกราฟต์ที่สามารถนำมาปลูกได้น้อย แพทย์จะต้องทำการประเมินอย่างละเอียด เพื่อเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ทั้งนี้หากคนไข้มีงบประมาณจำกัดก็สามารถแจ้งแพทย์เพื่อกำหนดขอบเขตของการรักษาได้เช่นกัน

โดยขั้นตอนการประเมินก่อนปลูกผม ที่ Vital Glow Skin & Aesthetic คุณหมอเจินจะพูดคุยกับคนไข้เพื่อให้คนไข้เข้าใจก่อนว่าการปลูกผมคืออะไร? แต่ละเทคนิคมีกระบวนการในการทำอย่างไรบ้าง?

จากนั้นคุณหมอจะวาดแนวผมเพื่อประเมินว่าคนไข้มีปัญหาผมบางมากน้อยแค่ไหน กราฟต์ผมด้านหลังมีจำนวนกราฟต์และความแข็งแรงมากพอที่จะแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ รวมถึงมีการออกแบบแนวไรผมใหม่ให้เหมาะกับรูปหน้าและความต้องการของคนไข้แต่ละคนด้วย

ส่วนการตรวจสอบความแข็งแรงของกราฟต์ผมด้านหลัง แพทย์จะใช้กล้องขยายชนิดพิเศษตรวจสอบบริเวณหนังศีรษะ เพื่อดูว่าในหนึ่งรูขุมขน คนไข้มีจำนวนผมอยู่กี่เส้น ซึ่งส่วนมากแล้วผมที่ควรมีอยู่ในหนึ่งรูขุมขน คือ 1-4 เส้น นอกจากนี้แพทย์ยังจะมีการดูขนาดของเส้นขนร่วมด้วย

สำหรับคนไข้ที่ตรวจสอบความแข็งแรงของกราฟต์ผมแล้วพบว่ากราฟต์ผมยังไม่แข็งแรงพอ แพทย์จะมีการจ่ายยาและแนะนำวิธีการดูแลตัวเอง เพื่อให้คุณภาพของเส้นผมกลับมาแข็งแรงเพียงพอถึงจะเริ่มปลูกผมได้

การรอให้ผมกลับมาแข็งแรงเต็มที่ก่อนการย้ายเซลล์ผมไปปลูกในบริเวณที่มีปัญหา จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ผลลัพธ์หลังทำออกมามีประสิทธิภาพ ผมที่ขึ้นใหม่มีความแข็งแรง ลดการเกิดปัญหาผมร่วง ผมบาง และลดโอกาสกลับมาศีรษะล้านซ้ำอีกครั้ง

การเตรียมตัวก่อนปลูกผม

ก่อนเข้ารับบริการปลูกผม คุณหมอเจินจะแนะนำให้ผู้รับบริการเตรียมตัวเตรียมความพร้อม ดังนี้

  • งดรับประทานยาหรืออาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน (Aspirin), ยาแก้อักเสบ (NSAIDs), วิตามินอี (Vitamin E) หรือน้ำมันปลา (Fish Oil) อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับบริการ
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนเข้ารับบริการ เพราะแอลกอฮอล์มีผลทำให้เส้นเลือดขยายตัว ซึ่งอาจทำให้เลือดออกมากในระหว่างผ่าตัดและทำให้แผลหายช้าลงได้
  • ในผู้ที่กังวลเรื่องผมหงอกหรือผมขาว ก่อนเข้ารับบริการสามารถใช้ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมได้ โดยแนะนำให้ใช้ก่อนเข้ารับบริการ 1-2 วัน
  • ในผู้ที่ต้องการไว้ผมสั้น แนะนำให้ตัดผมก่อนเข้ารับบริการ เนื่องจากหลังปลูกผมแพทย์จะไม่แนะนำให้ตัดผมนาน 1 เดือน
  • ในคืนก่อนรับบริการควรพักผ่อนให้เพียงพอ โดยนอนหลับอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
  • การปลูกผมอาจใช้เวลาในการผ่าตัดค่อนข้างนาน ก่อนเข้ารับบริการควรรับประทานอาหารมาให้เรียบร้อย

ขั้นตอนในการปลูกผม

ขั้นตอนการปลูกผมต้องอาศัยความละเอียดของแพทย์เป็นอย่างมาก ทำให้การรับบริการในแต่ละครั้งมักใช้เวลานานถึงเวลา 6-8 ชั่วโมง โดยการปลูกผมประกอบไปด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้

  • แพทย์วาดแนวผมตามที่เคยพูดคุยกับคนไข้ไว้ในขั้นตอนการประเมิน
  • ทำการตัดผมบางส่วนของคนไข้ออก เพื่อให้พร้อมต่อการย้ายกราฟต์ผม
  • ก่อนผ่าตัดคนไข้จะได้รับยานอนหลับ เพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดขณะรับบริการ
  • แพทย์ฉีดยาชาบริเวณหนังศีรษะ และเริ่มเก็บเซลล์รากผมในจำนวนที่ต้องการออกมา
  • ผู้เชี่ยวชาญจะนำกราฟต์ผมที่ได้ไปคัดเลือกกราฟต์ที่เหมาะสมมากที่สุด โดยใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังสูง
  • หลังจากคัดเลือกกราฟต์ผม แพทย์จะฉีดยาชาอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้จะไม่เจ็บปวดขณะทำ
  • แพทย์เริ่มกระบวนการปลูกผมลงไปในบริเวณที่กำหนดไว้ โดยอ้างอิงจากทิศทางเดิมของผมคนไข้จนทั่วบริเวณ

การดูแลตัวเองหลังปลูกผม

การดูแลตัวเองหลังปลูกผมนับเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เนื่องจากหากดูแลตัวเองอย่างผิดวิธี อาจทำให้การปลูกผมไม่เห็นผลได้ โดยช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังปลูกผม คุณหมอเจินแนะนำให้ปฏิบัติตัวดังนี้

  • นอนหัวสูง หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำและนอนตะแคง โดยวิธีนี้จะช่วยลดการกดทับ ลดการเสียดสี รวมถึงช่วยลดอาการบวม ทำให้หลังรับบริการสามารถฟื้นตัวได้เร็ว
  • ควรสวมเสื้อที่มีกระดุมด้านหน้าเท่านั้น เพราะการสวมเสื้อจากด้านบนหัว อาจทำให้กราฟต์ผมที่ปลูกมากถูกเสียดสีและหลุดร่วงได้
  • ไม่ควรจับ แกะ เกาแผลบริเวณที่ปลูกผม เพราะอาจทำให้กราฟต์ผมที่ปลูกมาหลุดออกได้
  • งดออกกำลังกายและยกของหนักหรือก้มศีรษะมากเกินไป

นอกจากนี้เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์หลังปลูกผม คนไข้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับผม ไม่ว่าจะเป็นการทำสีผม ดัดผม รวมถึงการออกกำลังบางชนิด อย่างน้อย 1 เดือน เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณหนังศีรษะได้

หลังปลูกผมนานแค่ไหนจึงจะเห็นผล?

หลังปลูกผม กราฟต์ผมที่ถูกย้ายไปยังบริเวณที่มีปัญหาจะฝังตัวที่บริเวณนั้นภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นผมที่ปลูกจะร่วงออก ซึ่งนับเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะปลูกผมด้วยวิธีใด โดยเรียกการร่วงนี้ว่าระยะ Shock Loss

หลังจากผ่านระยะ Shock Loss ไปแล้ว 3 เดือน ผมใหม่จะค่อยๆ ขึ้น โดยจะขึ้นเป็นจำนวนน้อยๆ และมีขนาดเล็กก่อน เรียกว่า Baby Hair และจะมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถปกคลุมบริเวณที่มีปัญหาได้ภายในระยะเวลา 5 เดือน และขึ้นเต็มที่ในระยะเวลา 9-12 เดือน

เรื่องที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปลูกผม

หลายคนมักเข้าใจว่าการปลูกผมสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ แต่นั่นเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการปลูกผมจะต้องอาศัยระยะเวลาให้เซลล์รากผมที่ถูกย้ายไปเกิดการฝังตัวและค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นตามวงจรชีวิตของผม ทำให้ไม่สามารถสังเกตเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ

เส้นผมเป็นอีกส่วนหนึ่งของใบหน้าที่ช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้เราดูดีและมั่นใจขึ้นได้ หากใครที่มีความกังวลเรื่องเส้นผม ผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน และกำลังมองหาสถานพยาบาลในการปลูกผมอยู่ Vital Glow Skin & Aesthetic เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ด้วยคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ให้บริการโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ พร้อมให้คำปรึกษาแบบเคสต่อเคส

ผู้ที่สนใจสามารถทักสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับแอดมิน หรือนัดวันเข้ามาปรึกษากับคุณหมอผ่านทาง @HDcare ได้เลย ทีมแพทย์จาก Vital Glow Skin & Aesthetic พร้อมดูแลค่ะ

Scroll to Top