Default fallback image

มองเห็นปกติ แล้วทำไมต้องตรวจสุขภาพตา?

มองเห็นได้ชัดอยู่ ยังไม่แก่ ทำไมต้องตรวจสุขภาพตาด้วย? เป็นคำถามที่หลายคนอาจสงสัย จริง ๆ แล้ว การมองเห็นชัดเจน หรือยังไม่มีอาการผิดปกติทางดวงตาใด ๆ ไม่ได้ยืนยันว่าสุขภาพตาดีเสมอไป 

เพราะโรคตาหลายชนิดไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น หากรอจนมีอาการ โรคอาจรุนแรงไปมาก หรือรักษาให้กลับเป็นปกติแบบเดิมได้ยาก ไปดูกันว่าการตรวจสุขภาพตาจำเป็นแค่ไหน ควรตรวจบ่อยแค่ไหน วัยไหนควรตรวจบ้าง

เหตุผลที่ทุกคนควรตรวจสุขภาพตา แม้การมองเห็นปกติ

โรคทางตาหลายชนิดมักไม่แสดงอาการจนเข้าสู่ระยะรุนแรง การตรวจสุขภาพตาจึงไม่ใช่การวัดค่าสายตาอย่างเดียว แต่จะช่วยค้นหาโรคทางตาที่พบบ่อย ตั้งแต่ยังไม่มีหรือมีอาการเล็กน้อย เช่น ต้อหิน และจอประสาทตาเสื่อม เพื่อป้องกันการสูญเสียสายตาในอนาคต

รวมถึงอาจช่วยคัดกรองโรคทางกายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับดวงตาได้ก่อนแสดงอาการ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวานขึ้นตา หรือเนื้องอกในสมอง หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่แรกเริ่ม จะสามารถรักษาได้ผลดีกว่า ชะลอการดำเนินของโรค และรักษาการมองเห็นไว้ได้มากที่สุด 

นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราทราบพฤติกรรมการที่ทำลายสุขภาพดวงตาโดยไม่รู้ตัว แล้วปรับเปลี่ยนได้ก่อนนำไปสู่ปัญหาทางสายตา เพื่อให้ปกป้องการมองเห็นให้อยู่กับเราไปนาน ๆ 

ใครบ้างควรตรวจสุขภาพดวงตา

แม้อายุไม่มาก การมองเห็นยังดีอยู่ แต่การตรวจสุขภาพดวงตาอย่างสม่ำเสมอ ยังจำเป็นสำหรับคนทุกช่วงวัย แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่  

การตรวจสุขภาพดวงตาตามช่วงอายุ

เด็กเล็ก
เด็กอาจไม่รู้ว่าการมองเห็นปกติเป็นอย่างไร ทำให้ไม่ระมัดระวังความผิดปกติทางตาที่อาจมีมาแต่กำเนิด หรือความผิดปกติของค่าสายตา เมื่อปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดปัญหาทางตาจนกระทบต่อบุคลิกภาพ และการเรียนรู้ได้ เช่น ตาขี้เกียจ ตาเข หรือค่าสายตาผิดปกติ 

ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
ประสิทธิภาพการมองเห็นและสายตาคนเราจะเสื่อมลงตามอายุที่มากขึ้น ทำให้อาจเสี่ยงต่อโรคทางตามากไปด้วย เช่น จอประสาทตาเสื่อม ต้อกระจก ต้อหิน และเบาหวานขึ้นตา การตรวจสุขภาพตาจะช่วยให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลง และรับมือได้ทันท่วงที

คนที่มีปัจจัยเสี่ยงทางดวงตา
คนบางกลุ่มที่มีปัญหาทางสายตา หรือปัญหาสุขภาพบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว อาจเสี่ยงต่อโรคทางตามากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่มีปัจจัยต่อไปนี้

  • ใส่คอนแทคเลนส์เป็นประจำ
  • มีประวัติครอบครัวหรือตัวเองเคยเป็นโรคตาหรือการมองเห็น เช่น ต้อหิน และจอประสาทตาเสื่อม
  • มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ใช้ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงต่อดวงตา
  • มีอาการผิดปกติทางสายตา
  • เคยได้รับการบาดเจ็บที่ดวงตาหรือเคยผ่าตัดตา
  • ทำงานที่ต้องใช้สายตามาก

ตรวจสุขภาพตา ต้องตรวจอะไรบ้าง 

การตรวจสุขภาพดวงตา ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละบุคคล และจุดประสงค์ในการตรวจ เบื้องต้นแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติการเจ็บป่วย ยาที่ใช้ สอบถามอาการ หรือปัญหาด้านการมองเห็น 

จากนั้นจะตรวจดวงตาเพิ่มเติม ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ เช่น

  • การวัดระยะการมองเห็น (Visual acuity) เป็นประเมินความสามารถในการมองเห็น และความคมชัด โดยจะทดสอบการมองเห็นทีละข้าง หากผิดปกติจะได้หาสาเหตุว่า เป็นผลจากโรคหรือจากสายตา 
  • การวัดค่าสายตา สั้น ยาว เอียง (Auto refraction) หากมีภาวะทางสายตาจะได้แก้ไขค่าสายตาให้กลับมามองเห็นได้ชัดเจน เช่น ตัดแว่นสายตา ใส่คอนแทคเลนส์ หรือผ่าตัดแก้ไขค่าสายตา 
  • การตรวจคัดกรองตาบอดสี (Color test) เป็นการทดสอบการมองเห็นสี หากเกิดความผิดปกติบางจุดของดวงตา อย่างเส้นประสาทตา หรือจอประสาทตา อาจทำให้ระดับการมองเห็นสีลดลง และยังมีประโยชน์ในการเรียน และการทำงานบางอาชีพ
  • การตรวจวัดความดันลูกตา (Tonometer) เป็นการวัดความดันของเหลวภายในลูกตา เพื่อประเมินความเสี่ยงของโรคต้อหิน หรือโรคที่มีการอักเสบภายในลูกตา ซึ่งทำให้ความดันลูกตาเปลี่ยนแปลงจากปกติ
  • การตรวจลานสายตา (Visual field) เป็นการตรวจการมองเห็นภาพที่ตามองเห็นได้ เพื่อดูว่ามีความบกพร่องในการมองเห็นในตำแหน่งใดหรือไม่ และอาจตรวจเจอโรคที่ทำให้ลานสายตาผิดปกติ เช่น ต้อหิน และโรคจอประสาทตาเสื่อม 
  • การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตา (Cover test and Eye movement) เป็นประเมินการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อตา และการเคลื่อนไหวของลูกตา 

ต้องตรวจสุขภาพตาบ่อยแค่ไหน 

ความถี่ในการตรวจสุขภาพตาจะดูตามช่วงอายุ และปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคน ดังนี้

  • ทารกและเด็กเล็ก (อายุ 6 เดือนขึ้นไป) ควรตรวจสุขภาพตาครั้งแรกเมื่ออายุ 6 เดือน จากนั้นตรวจซ้ำเมื่ออายุ 3 ปี และอีกครั้งก่อนเข้าเรียนชั้นระดับประถม 
  • เด็กวัยเรียน คนวัยทำงาน (อายุ 7–39 ปี) ควรตรวจสุขภาพตาทุก ๆ 1–2 ปี หากมีปัญหาสายตา โรคตา หรือใช้สายตาอย่างหนัก เช่น ทำงานหน้าจอ ใช้มือถือเป็นเวลานาน หรือใส่คอนแทคเลนส์ อาจต้องตรวจถี่ขึ้นตามจักษุแพทย์แนะนำ
  • วัยผู้ใหญ่ (อายุ 40 ปีขึ้นไป) ควรตรวจสุขภาพตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะเป็นช่วงที่เริ่มมีความเสี่ยงต่อโรคตาเรื้อรัง เช่น ต้อกระจก ต้อหิน หรือจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ    
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง อาจมีผลต่อเส้นเลือดในจอประสาทตาโดยตรง ควรตรวจสุขภาพตาทุก 6–12 เดือน โดยไม่ต้องรอให้ถึงอายุ 40 ปี หรือบ่อยตามที่จักษุแพทย์แนะนำ 

การมองเห็นที่ชัดเจนไม่ได้การันตีว่าดวงตาของเราไม่มีปัญหา การตรวจสุขภาพดวงตาเท่านั้นที่บอกได้ ดูแลดวงตาตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วย แพ็กเกจตรวจสุขภาพดวงตา โดยจักษุแพทย์ ราคาโปรโมชันที่ HDmall.co.th 

Scroll to Top