ไข้เลือดออก (Dengue virus) มีต้นเหตุจากเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมีพาหะนำโรคเป็นยุงลาย แต่รู้กันไหมว่าเจ้าเชื้อไวรัสนี้มีกี่สายพันธุ์ สายพันธุ์ไหนดุ สายพันธุ์ไหนต้องระวัง มีสายพันธุ์ใหม่ไหม ไม่ต้องห่วง เพราะเรารวบคำตอบมาให้แล้ว ไปดูกันเลย!
สารบัญ
ไข้เลือดออกมีกี่สายพันธุ์ สายพันธุ์ไหนอันตราย
เชื้อไวรัสเดงกีต้นเหตุไข้เลือดออกนั้นเป็นเชื้อ RNA สายเดี่ยว ในกลุ่มฟลาวิไวรัส (Flavivirus) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกันกับเชื้อไวรัสที่เราคุ้นเคยอย่าง ไวรัสไข้เหลือง ไวรัสซิกา และไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี
เชื้อไวรัสเดงกีจะมีด้วยกัน 4 สายพันธุ์ (Serotypes) คือ สายพันธุ์ 1–4 (DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4) โดยสายพันธุ์ที่พบมากในไทยคือ สายพันธุ์ 1 และ 2 ซึ่งสายพันธุ์ที่ 2 นี้เอง มักก่อให้เกิดอาการรุนแรงมากที่สุดจากทุกสายพันธุ์
โดยเชื้อทั้ง 4 สายพันธุ์ล้วนก่อให้เกิดโรคไข้เลือดออกได้ทุกสายพันธุ์ แต่ละปีจะมีการระบาดหมุนเวียนกันไป หากเคยติดเชื้อเดงกีสายพันธุ์ใดไปแล้ว จะมีภูมิคุ้มกันสายพันธุ์นั้นตลอดไป และมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียง 6–12 เดือน ทำให้เป็นไข้เลือดออกซ้ำได้จากสายพันธุ์อื่น
ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรกมักมีอาการไม่รุนแรง ทว่าหากติดเชื้อครั้งถัดไปด้วยสายพันธุ์อื่น อาจเสี่ยงไข้เลือดออกรุนแรงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิต
ไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่เป็นสายพันธุ์ไหน
หลายคนอาจได้ยินเรื่องปากต่อปากว่ามีโรคไข้เลือดออกสายพันธุ์อยู่เรื่อย ๆ ทำให้เกิดความกลัวหรือสับสน
ในความจริง ไข้เลือดออกมีเพียง 4 สายพันธุ์เท่านั้น ไม่ได้มีสายพันธุ์ใหม่แต่อย่างใด อาจเกิดจากความเข้าใจว่า เป็นไข้เลือดออกครั้งแรกแล้วอาการไม่รุนแรง พอเป็นครั้งที่ 2 กลับมีอาการหนักขึ้น
อย่างที่อธิบายไปก่อนหน้า ไข้เลือดออกเป็นซ้ำได้ และการติดเชื้อครั้งที่ 2 คนละสายพันธุ์ มักก่ออาการรุนแรงกว่าครั้งแรก เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ร่างกายยังไม่เคยมีภูมิคุ้มกันมาก่อน หรือมีเพียงเล็กน้อยนั่นเอง
อาการไข้เลือดออกระยะแรก สังเกตอย่างไร
โรคไข้เลือดออกอาจมีอาการหรือไม่ก็ได้ โดย 80–90% ของการติดเชื้อไข้เลือดออกครั้งแรกมักไม่มีอาการ แต่บางคนอาจเกิดอาการต่อไปนี้
- ไข้สูงลอยหรือไข้สูงเฉียบพลันนาน 2–7 วัน
- หน้าแดง ตัวแดง
- ปวดศีรษะ ปวดเบ้าตา
- ปวดตัว กล้ามเนื้อ หรือกระดูก
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
- มีจุดแดงๆ หรือจุดเลือดออกตามผิวหนังบริเวณข้อพับ แขน ขา ลำตัว
จุดสังเกตสำคัญ คือ ผู้ป่วยไข้เลือดออกมักไม่มีอาการในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม เจ็บคอ และน้ำมูกไหล ซึ่งพอจะช่วยให้สังเกตอาการเบื้องต้นได้บ้าง
ส่วนใหญ่อาการจะชัดเจนและง่ายต่อการวินิจฉัยโรคมากขึ้นเมื่อมีอาการเข้าวันที่ 3 คนที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือความเสี่ยง ไข้จะเริ่มลดลง อาการจะเริ่มดีขึ้น แต่บางคนจะเกิดอาการรุนแรงขึ้น พร้อมกับไข้ที่ลดลง (ระยะวิกฤต) ยังคงอ่อนเพลีย อาเจียน ปวดท้อง หายใจลำบาก
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสเกิดภาวะเลือดออก ทำให้เกล็ดเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ความเข้มข้นของเลือดเพิ่มขึ้น เสี่ยงเกิดภาวะช็อกจากไข้เลือดออก ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และคนมีโรคประจำตัว
ฉะนั้น ถ้ามีอาการน่าสงสัยของไข้เลือดออกในข้างต้น ป่วยเป็นไข้เกิน 2 วันแล้ว อาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที
วัคซีนไข้เลือดออก ป้องกันสายพันธุ์ไหนได้บ้าง
วัคซีนไข้เลือดออกในประเทศไทยมีให้เลือก 2 ชนิด สามารถป้องกันได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยประสิทธิภาพป้องกันแต่ละสายพันธุ์จะไม่เท่ากัน
วัคซีนไข้เลือดออกชนิด 2 เข็ม
- ฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน
- ฉีดได้ในคนอายุ 4–60 ปี ทั้งในคนที่เคยติดเชื้อและไม่เคยติดเชื้อเดงกีมาก่อน
- ประสิทธิภาพป้องกันโรคได้ราว 80% (ป้องกัน DENV–1 ได้ 70%, DENV–2 ได้ 95%, DENV–3 ได้ 49% และ DENV–4 ได้ 51%)
- ลดความเสี่ยงอาการรุนแรงและโอกาสเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 90%
วัคซีนไข้เลือดออกชนิด 3 เข็ม
- ฉีด 3 เข็ม ในเดือนที่ 0, 6 และ 12
- ฉีดได้ในคนอายุ 6–45 ปี แนะนำให้ฉีดในคนที่เคยเป็นไข้เลือดออก เพราะวัคซีนจะมีประสิทธิภาพดีกว่า
- ประสิทธิภาพป้องกันโรคได้ราว 80% (ป้องกัน DENV–1 ได้ 58%, DENV–2 ได้ 47%, DENV–3 ได้ 73% และ DENV–4 ได้ 83%)
- ลดความเสี่ยงอาการรุนแรงได้ 80% และลดโอกาสเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 93%
การฉีดวัคซีนไข้เลือดออกเป็นการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้อีกทาง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวัคซีนชนิดที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายที่สุด ควบคู่กับการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากยุงลาย โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่มีการระบาดสูง หากพบสัญญาณไข้เลือดออกระยะเริ่มต้น ควรไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุให้แน่ชัด
โรคร้ายที่คุ้นเคยอาจร้ายแรงไม่เลือกคน Hdmall.co.th มัดรวม โปรฉีดวัคซีนไข้เลือดออกครบโดส ราคาพิเศษ เลือกสถานพยาบาลที่ใช่ ใกล้บ้าน แล้วจองเลย!