ลักษณะอาการปวดคออันตรายที่ควรไปพบแพทย์

ลักษณะอาการปวดคออันตรายที่ควรไปพบแพทย์

อาการปวดคอ (Neck pain) เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปในทุกเพศทุกวัย ซึ่งคนส่วนใหญ่มักคิดว่า อาการปวดคอเป็นอาการที่ไม่อันตราย เพียงแค่นั่งพักสักครู่หนึ่ง รับประทานยาแก้ปวด หรือใช้ยาทาแก้ปวดก็สามารถบรรเทาอาการได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งอาการปวดคออาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไม่อย่างนั้นอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

มีคำถามเกี่ยวกับ ปวดคอ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับสาเหตุของอาการปวดคอ ลักษณะอาการปวดคอที่เป็นอันตราย และวิธีบรรเทาอาการปวดคอในเบื้องต้น

สาเหตุของอาการปวดคอ

อาการปวดคอเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดจากความผิดปกติในร่างกาย โดยสาเหตุของอาการปวดคอที่พบบ่อยมีดังนี้

  • มีพฤติกรรมและอิริยาบถ ท่าทางที่ผิดสุขลักษณะ เช่น นั่งก้มหน้า หรือเงยหน้าตลอดเวลา ชอบนอนหนุนหมอนสูงเกินไป
  • ความเครียดเรื้อรัง สามารถทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็งจนทำให้เกิดอาการปวดคอได้
  • การพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้นตอของปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเครียด อาการซึมเศร้า รวมถึงอาการปวดคอด้วย
  • กล้ามเนื้อ หรือเอ็นรอบคอเกิดอาการเคล็ด ขัด ยอก มีหลายสาเหตุ เช่น ทำงานหนักเกินไป เคลื่อนไหวต้นคออย่างรวดเร็ว หรือรุนแรง ออกกำลังกายผิดท่า หรือนอนตกหมอน
  • กระดูกคอเสื่อมตามวัย ในระยะแรกมักไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่เมื่อมีหินปูนมาเกาะที่กระดูก และเอ็นรอบคอหนาขึ้นเรื่อยๆ จนไปกดทับเส้นประสาท จะทำให้เกิดอาการปวดคอร้าวไปยังแขน และเกิดอาการชาที่แขนตามมา
  • กระดูกคอได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่างๆ เช่น หกล้ม ถูกทำร้ายร่างกาย หรือประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
  • กระดูกคออักเสบจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้เกิดอาการปวดร้าวบริเวณท้ายทอย หากมีอาการอักเสบรุนแรงอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรง หรือมีอาการชาที่ศีรษะลามลงมาที่แขนร่วมด้วย

อาการปวดคอที่ควรไปพบแพทย์

ปกติแล้ว อาการปวดคอทั่วไปจะสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการปรับพฤติกรรม หรืออิริยาบถ รวมทั้งรับประทานยาแก้ปวด

อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดคออย่างรุนแรงจนไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ หรือมีอาการปวดคอร่วมกับอาการดังต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์ทันที

  • มีไข้ ปวดศีรษะ และคอเคล็ด อาจเป็นอาการแสดงของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณไขสันหลัง และเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
  • ปวดเมื่อยตามแขนข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าแขน หรือมือมีอาการอ่อนแรง เหน็บชา หรือเสียวแปล๊บร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อย่างไรก็ตาม หากรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและอิริยาบถท่าทาง รวมทั้งทำกายภาพบำบัดตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้หายจากโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ และปัสสาวะ อาจเป็นอาการของโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทในระดับรุนแรงมากที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดทันที หากรักษาช้าเกินไปอาจทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูระบบขับถ่ายได้
  • เอียงศีรษะไปข้างหน้า หรือด้านหลังได้มากกว่าปกติ อาจบ่งชี้ถึงอาการกระดูกหัก กระดูกแตก หรือเอ็นฉีกขาดที่เป็นผลกระทบจากการบาดเจ็บได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักตรวจพบด้วยวิธีการเอกซเรย์
  • ต่อมน้ำเหลืองในคอบวมเรื้อรัง อาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือเนื้องอก
  • เจ็บหน้าอก หรือเป็นโรคความดันโลหิตต่ำ หรือสูง ในบางครั้งภาวะหัวใจวาย หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอาจทำให้เกิดอาการปวดคอร่วมกับอาการในกลุ่มโรคหัวใจได้

วิธีรักษาอาการปวดคอ

ในเบื้องต้นแนะนำให้พักผ่อนมากๆ ร่วมกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและใช้ยาแก้ปวด หรือยาทาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดคอก่อนได้

มีคำถามเกี่ยวกับ ปวดคอ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดคอไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดที่เป็นอันตรายควรไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์จะตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการปวดคอ และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้ เช่น

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและอิริยาบถท่าทางให้เหมาะสม ทั้งในด้านการพักผ่อนและการออกกำลังกาย
  • ใช้ยาแก้ปวด หรือยาแก้อักเสบ มักใช้ในกรณีที่อาการปวดคอไม่รุนแรง ทั้งนี้ไม่ควรซื้อยามาใช้ด้วยตนเอง ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
  • ทำกายภาพบำบัด มักทำร่วมกับการรักษาอื่นๆ มีหลายวิธี เช่น การนวด การบำบัดด้วยความร้อนโดยใช้เครื่องกระตุ้นแม่เหล็ก หรือคลื่นอัลตราซาวด์ วารีบำบัด หรือการบำบัดด้วยความเย็น (Ice lab) สำหรับผู้มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้บริการเหล่านี้เพื่อความปลอดภัย
  • ใส่เฝือกอ่อนพยุงคอ ในกรณีที่แพทย์ประเมินแล้วว่า ไม่ควรขยับคอมากเกินไป
  • การผ่าตัด มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

วิธีป้องกันการเกิดอาการปวดคอ

วิธีป้องกันการเกิดอาการปวดคอที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวดคอ และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น

  • หลีกเลี่ยงการสะบัดคอแรงๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการคอเคล็ดได้
  • ไม่ควรนั่งทำงานท่าเดิมๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ควรหมั่นขยับตัว หรือลุกขึ้นเดินบ้างทุกๆ 30นาที
  • ในผู้ที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรปรับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เล่นกีฬา เล่นโยคะ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อคอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หนุนหมอนที่ไม่สูงมากเกินไป
  • หากมีอาการอ่อนล้ามาก สามารถบรรเทาอาการปวดคอได้ด้วยการทำกายภาพบำบัด ทำสปา นวดตัว หรือนวดแผนไทย ได้

แนะนำท่าบริหารกล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่ อย่างง่ายๆ

การบริหารกล้ามเนื้อคอ บ่า และไหล่ เป็นประจำ จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการปวดคอได้มาก สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้

  • วิธีที่ 1: ก้มหน้า แหงนคอ เอียงคอไปด้านซ้าย และขวา ทำท่าละประมาณ 20 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ ทั้งนี้ผู้มีอาการคอเสื่อมไม่ควรทำท่าแหงนคอ
  • วิธีที่ 2: ใช้มือขวาดึงศีรษะเอียงมาด้านขวา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วสลับกับใช้มือซ้ายดึงศีรษะเอียงมาทางด้านซ้าย ค้างไว้ 10 วินาที จำนวน 10 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ
  • วิธีที่ 3: ใช้มือขวาจับบริเวณคางด้านซ้ายแล้วดึงหน้าหันมาทางด้านขวา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วสลับกับใช้มือซ้ายจับบริเวณคางด้านขวาแล้วดึงหน้าหันมาทางด้านซ้าย ค้างไว้ 10 วินาที จำนวน 10 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ
  • วิธีที่ 4: ใช้มือประสานกันบริวเวณท้ายทอยแล้วดึงศีรษะลงมาในท่าก้ม ทำค้างไว้ 10 วินาที จำนวน 10 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ

อาการปวดคอส่วนใหญ่มักเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นทุกคนจึงควรดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดอาการปวดคอก็ควรสังเกตลักษณะของอาการที่เกิดขึ้นให้ดี เพราะถ้าหากมีอาการปวดคออย่างรุนแรง หรือมีอาการปวดคอที่เข้าข่ายอันตรายก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา

มีคำถามเกี่ยวกับ ปวดคอ? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ