โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease) มีสาเหตุสำคัญจากการที่มีกรดออกมามากเกินไปในขณะย่อยอาหาร หรืออาจเกิดจากการที่หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวผิดปกติ ทำให้กรดส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาหารได้ เป็นอาการที่พบบ่อยในปัจจุบัน แต่สามารถรักษา บรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
สารบัญ
- อาการของโรคกรดไหลย้อน
- สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
- 10 วิธีแก้กรดไหลย้อนเร่งด่วนด้วยตนเอง
- 1. อย่ารับประทานมากเกินไป
- 2. อย่ารับประทานเร็วเกินไป
- 3. ไม่รับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
- 4. เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อต้องออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
- 5. อย่าเข้านอนทันที หลังเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ
- 6. อย่านอนหงายราบเวลานอน
- 7. งดสูบบุหรี่
- 8. อย่าดื่มหนักเกินไป
- 9. อย่าใส่เสื้อผ้าที่คับแน่นเกินไป
- 10. อย่าเครียดเกินไป
อาการของโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนจะทำให้เกิดอาการแสบร้อนยอดอก (Heartburn) แสบคอ ไอ เรอเปรี้ยว จุกแน่นคล้ายมีอะไรติดคอ ท้องอืด อาการที่เกิดขึ้นแม้ไม่ใช่อาการร้ายแรงที่ส่งผลถึงกับชีวิตในทันที แต่ก็สร้างความทรมานและกระทบกับการใช้ชีวิตไม่น้อย แสบร้อนกลางอกเพราะกรดไหลย้อนมักสร้างปัญหาให้ได้ง่าย หลายคนจึงพยายามหาวิธีแก้กรดไหลย้อนเร่งด่วนและไม่ใช้ยาเพื่อให้หายจากอาการนี้
ในรายที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการแสบร้อนเกิดขึ้นกลางหน้าอกค่อนไปข้างล่าง ทำให้รู้สึกว่า “รอบๆ หัวใจมีอาการแสบร้อนเหมือนถูกไฟไหม้” จึงทำให้เข้าใจผิดคิดว่า เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวใจแต่อย่างใด
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
ผู้คนส่วนมากที่ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนมักมีสาเหตุจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น เข้านอนทันทีหลังรับประทานอาหารเสร็จ รับประทานอาหารมากเกินไป หรือเร็วเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ “การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” เป็นวิธีสำคัญที่สามารถป้องกันและรักษาโรคกรดไหลย้อนได้
10 วิธีแก้กรดไหลย้อนเร่งด่วนด้วยตนเอง
1. อย่ารับประทานมากเกินไป
ควรแบ่งการรับประทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน หรือรับประทานเป็นอาหารหลัก 3 มื้อเล็กๆ และอาหารเสริมอีก 3 มื้อก็ได้ การรับประทานแบบนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้กระเพาะอาหารสร้างกรดมากเกินไป ทำให้ลดอาการแสบร้อนยอดอกได้เป็นอย่างดี
2. อย่ารับประทานเร็วเกินไป
การรับประทานเร็วเกินไป เคี้ยวน้อยลง จะทำให้ระบบทางเดินอาหารต้องทำงานหนักมากขึ้นแถมยังทำให้อาหารไม่ย่อย ท้องอืด และกรดไหลย้อนตามมาได้ ดังนั้นควรรับประทานอาหารให้ช้าลงและเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
แนะนำให้เคี้ยวอาหาร 20 ครั้ง หรือนับให้ถึง 20 ครั้งก่อนที่จะรับประทานคำถัดไป
3. ไม่รับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อน
อาหารหลายชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ อาหารเหล่านั้นแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ประเภทที่ 1 อาหารที่ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวในเวลาที่ไม่ควร
- อาหารทอด อาหารมันๆ
- เนื้อติดมันมาก
- ซอสครีม
- ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมันเนย
- ช็อกโกแลต
- เปปเปอร์มินต์
- เครื่องดื่มมีคาเฟอีน เช่น น้ำอัดลม กาแฟ ชา และโกโก้
ประเภทที่ 2 อาหารที่ทำให้กระเพาะอาหารสร้างกรดมากเกินไป
- เครื่องดื่มมีคาเฟอีน
- น้ำอัดลม
- แอลกอฮอล์
- อาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด
- พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ
4. เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อต้องออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน
ไม่ว่าจะรับประทานอาหารที่ไหนๆ ก็ควรเลือกรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่กระตุ้นให้กรดไหลย้อน ที่สำคัญอย่ารับประทานมากจนเกินไป และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
5. อย่าเข้านอนทันที หลังเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ
การนอนในขณะที่กระเพาะอาหารยังเต็มแน่นไปด้วยอาหารทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างถูกดันให้คลายตัว ส่งผลให้อาหารและกรดจากกระเพาะไหลย้อนขึ้นไป หลังจากนั้นจะเกิดอาการกรดไหลย้อนตามมา
ทางที่ดีหลังรับประทานอาหารเสร็จ ควรรออย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง แล้วจึงเข้านอน พยายามหลีกเลี่ยงขนมมื้อดึก หากวันไหนจำเป็นต้องรับประทานอาหารมื้อใหญ่ควรเลือกให้เป็นมื้อกลางวันมากกว่ามื้อเย็นเพราะกระเพาะอาหารจะมีโอกาสย่อยได้นานกว่า
6. อย่านอนหงายราบเวลานอน
เมื่อรู้สึกมีอาการของกรดไหลย้อน ไม่ควรนอนหงายราบเพราะอาหารในกระเพาะจะกดทับหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง ทำให้กรดไหลย้อน แนะนำให้หนุนที่นอนตั้งแต่ช่วงอก ไหล่ และศีรษะให้สูงขึ้นจะช่วยลดแรงกดดังกล่าวได้
วิธีเสริมที่นอนให้สูงขึ้น
- วางก้อนอิฐ หิน หรืออะไรก็ตามที่แข็งแรงมั่นคง รองขาเตียงฝั่งหัวนอนให้สูงขึ้น
- ใช้หมอนรูปลิ่มหนุนบริเวณศีรษะและไหล่
หมายเหตุ: อย่ายกศีรษะให้สูงขึ้นโดยการเอาหมอนรองเท่านั้น เพราะจะยิ่งทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นและไม่ช่วยลดอาการกรดไหลย้อนด้วย
7. งดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมายและกรดไหลย้อนก็เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดจากการสูบบุหรี่ เพราะสารเคมีบางชนิดในบุหรี่เพิ่มโอกาสในการเป็นกรดไหลย้อนได้ ด้วยกลไกดังนี้
- ลดการสร้างน้ำลาย น้ำลายมีฤทธิ์เป็นด่างและช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะได้ เมื่อเรากลืนน้ำลายลงคอ น้ำลายจะชะล้างกรดในกระเพาะที่ไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหารให้กลับเข้าสู่กระเพาะเหมือนเดิม แต่การสูบบุหรี่จะลดการสร้างน้ำลายลง ทำให้เพิ่มโอกาสการเป็นกรดไหลย้อนได้
- เพิ่มกรดในกระเพาะอาหาร การสูบบุหรี่เพิ่มการสร้างกรดในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ยังอาจกระตุ้นให้เกลือน้ำดี (Bile salt) จากลำไส้มายังกระเพาะอาหาร ทำให้กรดในกระเพาะอาหารก่ออันตรายได้มากขึ้น
- ทำให้การทำงานของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างแย่ลง การสูบบุหรี่ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง (ทำหน้าที่กั้นรอยต่อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร) เกิดการคลายตัวอย่างผิดปกติ อาหารในกระเพาะอาหารจึงล้นกลับไปในหลอดอาหารได้
- การสูบบุหรี่จะทำอันตรายต่อหลอดอาหารได้โดยตรงมากกว่าโรคกรดไหลย้อนเสียอีก
8. อย่าดื่มหนักเกินไป
แอลกอฮอล์เพิ่มปริมาณการสร้างกรดในกระเพาะอาหารและทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัว หากต้องการดื่มแอลกอฮอล์บ้างสามารถเลือกวิธีต่อไปนี้
- เลือกเบียร์ หรือไวน์ชนิดปราศจากแอลกอฮอล์
- จำกัดการดื่มไว้ที่เหล้าผสมไม่เกินหนึ่งถึงสองแก้ว ไวน์ไม่เกินสิบหกออนซ์ และเบียร์ไม่เกินสามแก้ว
- ดื่มไวน์ขาวแทนไวน์แดง
- เจือจางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยน้ำ หรือโซดา
- สังเกตว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดใดที่ทำให้มีอาการกรดไหลย้อนและหลีกเลี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หมายเหตุ: เมื่อทราบแล้วว่า แอลกอฮอล์มีโทษต่อโรคกรดไหลย้อนมากกว่าประโยชน์ แนะนำให้หลีกเลี่ยง หรือดื่มให้น้อยที่สุดเท่าที่ทำได้จะดีกว่า
9. อย่าใส่เสื้อผ้าที่คับแน่นเกินไป
การแต่งกายด้วยเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับที่รัดแน่นบริเวณท้อง เช่น เข็มขัด หรือสายรัดเอว อาจบีบกระเพาะอาหารให้ดันอาหารและกรดผ่านหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารได้
10. อย่าเครียดเกินไป
ความเครียดส่งผลให้กระเพาะอาหาร ลำไส้ และหลอดอาหารทำงานน้อยลง แต่มีการหลั่งกรดมากขึ้น หากคุณมีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ เช่น รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา รับประทานอาหารดึกๆ รับประทานเสร็จแล้วนอนทันที หรือไม่มีเวลาออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้มีโอกาสเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
ทางที่ดีควรหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียดบ้าง เช่น นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดความเครียดได้ ก็จะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน ช่วยแก้กรดไหลย้อนเร่งด่วน รวดเร็ว เห็นผลไว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้ง 10 วิธีนี้หากนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ หมั่นสังเกตอาการตนเองเป็นประจำก็จะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคกรดไหลย้อน และลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้อีกด้วย แต่หากคุณมีอาการกรดไหลย้อนรุนแรงมากขึ้น แนะนำให้พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารโดยตรงเพื่อตรวจประเมินร่างกายและรับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมจะดีที่สุด
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา