วัคซีน RSV

ฉีดวัคซีน RSV ให้แม่ตั้งครรภ์ VS ฉีดภูมิคุ้มกันให้ทารก แบบไหนดีกว่า?

รู้ไหม? ไวรัส RSV เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของเด็กทารกทั่วโลก โดยแต่ละปีมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อนี้มากกว่า 1 แสนราย ไวรัส RSV จึงถือเป็นไวรัสอันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง แต่สิ่งสำคัญที่ควรรู้คือ เราสามารถป้องกันความเสี่ยงนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ หรือ เลือกฉีดภูมิคุ้มกันให้ทารกแรกเกิด

ทั้งสองวิธีนี้ มีข้อแตกต่างกันอย่างไร? ข้อดี ข้อจำกัด หรือเหมาะกับใครมากกว่า บทความนี้รวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับไวรัส RSV ไว้แล้ว

ไวรัส RSV คืออะไร?

ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีสองสายพันธุ์ คือ RSV-A และ RSV-B ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะบริเวณปอดและหลอดลม

จากรายงานพบว่าเด็กและทารกเกือบทุกคนต้องเคยติดเชื้อไวรัส RSV อย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 2 ปีแรก นอกจากนี้ไวรัส RSV ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในกลุ่มทารกและเด็กเล็กทั่วโลกด้วย

ไวรัส RSV มักระบาดหนักในช่วงฤดูฝนจนถึงต้นฤดูหนาว โดยติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว ผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน

นอกจากนี้เชื้อไวรัสยังมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลานานหลายชั่วโมง โดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่างๆ ฉะนั้นการป้องกันด้วยการหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อ จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก ที่ต้องไปโรงเรียน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน

ทำไมไวรัส RSV ถึงอันตรายในเด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก?

จริงๆ แล้วคนทุกช่วงวัย มีโอกาสติดเชื้อไวรัส RSV ได้ แต่โดยทั่วไปจะมีอาการไม่รุนแรง คล้ายกับไข้หวัดธรรมดา และส่วนใหญ่จะอาการจะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องพบแพทย์ 

ยกเว้นเป็นการติดเชื้อในผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ กลุ่มนี้อาจมีอาการรุนแรงกว่าปกติ

แต่สาเหตุที่ไวรัส RSV ค่อนข้างอันตรายในเด็กแรกเกิด รวมทั้งเด็กเล็ก​ โดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน เนื่องจาก

    • ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่
    • ทางเดินหายใจยังมีขนาดเล็ก: เนื่องจากทางเดินหายใจของเด็กมีขนาดเล็กกว่าของผู้ใหญ่มาก เมื่อเกิดการอักเสบและบวม หรือมีสารคัดหลั่งจำนวนมาก อาจทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง จนหายใจลำบากและเสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนได้ง่าย
    • มีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายและรุนแรง: ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย เช่น 
      • ภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis): พบได้บ่อยและอันตรายมากในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยไวรัสจะทำให้เซลล์เยื่อบุหลอดลมฝอยบวมอักเสบ มีเสมหะมาก จนอุดตันท่อทางเดินหายใจ ทำให้เด็กมีอาการหายใจเร็ว หอบ เสียงครืดคราด หรือมีเสียงหวีด
      • ภาวะปอดอักเสบ (Pneumonia): ไวรัสสามารถลุกลามจากหลอดลมฝอยไปสู่ถุงลม ทำให้เกิดการอักเสบ บวม และมีสารคัดหลั่งคั่งภายในถุงลม ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนก๊าซแย่ลง เด็กอาจมีไข้สูง หายใจเหนื่อยหอบรุนแรง หรือออกซิเจนในเลือดต่ำลงได้
      • ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงชีวิต: หากทางเดินหายใจมีการอักเสบรุนแรง อาจนำไปสู่ภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว และการหยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัส RSV ที่รุนแรงในวัยเด็ก ยังมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพระยะยาว เช่น เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคหอบหืดได้อีกด้วย

ถ้าติดเชื้อไวรัส RSV จะมีอาการอะไรบ้าง? ต่างจากไข้หวัดธรรมดายังไง?

สิ่งที่น่ากังวลใจสำหรับการติดเชื้อไวรัส RSV คือ อาการเริ่มต้นของโรคจะคล้ายคลึงกับไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ จาม เจ็บคอ มีน้ำมูก มีเสมหะ 

ทำให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองเข้าใจผิด คิดว่าเป็นอาการป่วยด้วยโรคทั่วไป จึงไม่ได้พาเด็กหรือทารกเข้ามาพบแพทย์ จนทำให้อาการรุนแรงขึ้น โดยสัญญาณที่แสดงว่า การติดเชื้อไวรัส RSV เริ่มอันตราย ได้แก่

  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน
  • หายใจเร็วและถี่ มีอาการหอบเหนื่อย
  • อกบุ๋มขณะหายใจ
  • ไอแรง 
  • หายใจมีเสียงหวีด หรือ เสียงครืดคราดในลำคอ
  • รอบปากหรือเล็บ อาจเป็นสีเขียวคล้ำ

หากพบว่าทารกหรือเด็กเล็กมีอาการเหล่านี้ ต้องรีบเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

วิธีรักษาเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV?

ปัจจุบันยังไม่มีย้านต้านไวรัส RSV หรือวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง แต่จะเป็นการรักษาตามอาการ สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง แพทย์มักรักษาด้วยวิธีให้ยา เช่น ยาลดไข้ บรรเทาอาการไอ ละลายเสมหะ แล้วให้กลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน

แต่ในกลุ่มผู้ป่วยทารก เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ หรือกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว ซึ่งแพทย์ประเมินแล้วว่าอาการรุนแรง แพทย์อาจให้รักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยเน้นรักษาตามอาการ เช่น ในรายที่มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก จะให้ออกซิเจน หรือยาขยายหลอดลม ส่วนในรายที่ร่างกายอ่อนเพลีย มีภาวะขาดน้ำ ก็จะให้น้ำเกลือ เป็นต้น

การป้องกันไวรัส RSV ฉีดวัคซีนให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ หรือ ฉีดภูมิคุ้มกันให้ทารก แบบไหนดีกว่ากัน?

การป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพ สามารถทำได้ 2 วิธีหลักๆ นั่นคือ การฉีดวัคซีนป้องกัน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ เพื่อให้ร่างกายแม่สร้างภูมิคุ้มกันและส่งต่อไปสู่ลูก และ การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ให้ทารก เพื่อสร้างเกราะป้องกันไวรัสแบบทันที

การฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์

เป็นการฉีดวัคซีนให้กับคุณแม่ขณะตั้งครรภ์ โดยร่างกายของคุณแม่จะสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibody) ขึ้นมา แล้วส่งต่อภูมิคุ้มกันนั้นไปยังทารกผ่านทางรก ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงช่วง 6 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด โดยจะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงและลดโอกาสที่ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล

นอกจากนี้บางการศึกษายังพบว่า การฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ หากทารกมีการติดเชื้อ RSV หลังคลอด จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้สูงถึง 81.8% ในเด็กวัย 0-3 เดือน และ 69.4% ในช่วง 6 เดือนแรก

ทั้งนี้คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถเข้ารับวัคซีน RSV ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ร่างกายของแม่จะสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมส่งต่อไปยังทารกในครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีของการฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์

  • ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่โดยตรง โดยไม่ต้องเจ็บตัวฉีดยาเมื่อแรกคลอด
  • สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือนแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสเสี่ยงสูงสุด
  • วัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาหลายชนิด (Polyclonal Antibody) ซึ่งจะมีความยืดหยุ่นต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสได้ดีกว่า
  • ช่วยลดความเสี่ยงการเข้ารักษาในโรงพยาบาลของทารกในช่วง 6 เดือนแรก

ข้อจำกัดของการฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์

  • ภูมิคุ้มกันจะคงอยู่ประมาณ 5-6 เดือน แล้วประสิทธิภาพจะค่อยๆ ลดลง
  • กรณีที่คลอดก่อนกำหนด การถ่ายทอดภูมิคุ้มกันอาจยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ป้องกันได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
  • อาจมีข้อจำกัดในคุณแม่ที่มีโรคประจำตัวบางประการ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
  • หากคุณแม่เคยได้รับวัคซีนนี้แล้ว และตั้งครรภ์ครั้งถัดไป ไม่แนะนำให้รับวัคซีนซ้ำ โดยทารกควรใช้วิธีป้องกันด้วยการฉีดภูมิคุ้มกันแทน

ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์

วัคซีน RSV ถือเป็นวัคซีนที่มีการทดสอบแล้วว่าปลอดภัยทั้งต่อคุณแม่และทารก แต่ขณะเดียวกัน หลังจากที่คุณแม่ได้รับวัคซีนแล้ว อาจมีอาการข้างเคียงได้ เช่นเดียวกับวัคซีนชนิดอื่นๆ เช่น

  • ผิวหนังบริเวณที่ฉีดวัคซีนมีอาการบวมแดง
  • มีไข้ต่ำๆ ปวดหัวเล็กน้อย
  • อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ บางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย

ทั้งนี้อาการข้างเคียงจะค่อยๆ ดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน แต่หากไม่ดีขึ้น หรือมีอาการไม่พึงประสงค์อื่นๆ ควรรีบเข้าพบแพทย์ทันที และสิ่งสำคัญที่สุดคือ ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนใดๆ ก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลการตั้งครรภ์ก่อนเสมอ

ราคา/ค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์

สำหรับค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีน RSV จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานพยาบาล โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่เข็มละ 5,990 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจ และค่าบริการของสถานพยาบาลนั้นๆ

การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ให้ทารก

เป็นการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Monoclonal Antibody) ที่สังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV โดยเฉพาะ เมื่อทารกได้รับภูมิคุ้มกันแล้ว ร่างกายจะสามารถต้านเชื้อไวรัส RSV ได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเอง

จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่าการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปให้ทารก ช่วยลดอัตราการเข้ารักษาในโรงพยาบาลจากไวรัส RSV ได้ถึง 90%

สำหรับช่วงวัยที่เหมาะสมในการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปให้ทารกนั้นแนะนำว่า สามารถฉีดได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึง 24 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรง 

ส่วนช่วงเวลาที่แนะนำให้ฉีด ควรเป็นช่วงก่อนมีการแพร่ระบาด สำหรับประเทศไทย เดือนที่เหมาะสมคือเดือนพฤษภาคม (ช่วงที่มีการระบาดของเชื้อ RSV สูงคือระหว่างเดือนมิถุนายน-ตุลาคม)

ข้อดีของการฉีดภูมิคุ้มกัน RSV ให้ทารก

  • เป็นการให้ภูมิคุ้มกันแก่ทารกโดยตรง จึงป้องกันไวรัสได้ทันทีหลังฉีด
  • สามารถกำหนดช่วงเวลาที่ต้องการฉีดภูมิคุ้มกันได้ โดยส่วนใหญ่จะเลือกให้ตรงกับฤดูที่ไวรัส RSV ระบาดหนัก
  • ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปมีระยะเวลาการป้องกันนานกว่า การที่ทารกได้รับภูมิคุ้มกันจากมารดา
  • เหมาะสำหรับทารกที่คุณแม่ไม่ได้ฉีดวัคซีน RSV ระหว่างตั้งครรภ์
  • ความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงต่ำ

ข้อจำกัดของการฉีดภูมิคุ้มกัน RSV ให้ทารก

  • ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ไม่ใช่วัคซีนแบบดั้งเดิม ที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง จึงอาจไม่ครอบคลุมการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทำให้ประสิทธิภาพการป้องกันลดลงได้
  • หากยังอยู่ในวัยเสี่ยง (อายุไม่เกิน 2 ปี) ต้องฉีดทุกปี ในช่วงที่ไวรัสระบาด
  • ราคาค่อนข้างสูงกว่าวัคซีนที่ฉีดให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์

ผลข้างเคียงของการฉีดภูมิคุ้มกัน RSV ให้ทารก

โดยทั่วไปการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป มักจะมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการฉีดวัคซีน เนื่องจากเป็นการให้แอนติบอดีโดยตรง ไม่ได้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเอง แต่ก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้บ้าง ส่วนใหญ่มักดีขึ้นเองใน 2-3 วัน อาการที่พบได้ เช่น

  • ปวด บวม แดง หรือคันบริเวณที่ฉีด
  • มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย 
  • ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ

ทั้งนี้หลังฉีดภูมิคุ้มกันแล้ว แพทย์อาจให้สังเกตอาการที่โรงพยาบาลประมาณ 30-60 นาที หากไม่มีอาการแพ้ใดๆ เช่น ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก อาเจียน ชัก หรือซึม ก็จะอนุญาตให้กลับบ้านได้

ราคา/ค่าใช้จ่ายในการฉีดภูมิคุ้มกัน RSV ให้ทารก

ค่าใช้จ่ายในการฉีดภูมิคุ้มกัน RSV ให้ทารกนั้น จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานพยาบาล โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่เข็มละประมาณ 17,500 บาท

  • สำหรับเด็กวัย 0-12 เดือน ฉีด 1 เข็ม 
  • สำหรับเด็กวัย 12- 24 เดือน ฉีด 2 เข็ม

ตารางเปรียบเทียบการป้องกันไวรัส RSV: ฉีดวัคซีนให้คุณแม่ตั้งครรภ์ VS ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป

หัวข้อ ฉีดวัคซีน RSV ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปให้ทารก
หลักการทำงาน กระตุ้นให้ร่างกายแม่สร้างภูมิคุ้มกัน และส่งต่อสู่ทารก ให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปแก่ทารกโดยตรง ป้องกันไวรัสได้ทันที
เหมาะกับใคร คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ในช่วงอายุครรภ์ 28-36 สัปดาห์ ทารกแรกเกิดถึง 2 ปี โดยเฉพาะกรณีที่คุณแม่ไม่ได้ฉีดวัคซีน หรือเด็กคลอดก่อนกำหนด
ข้อดี – ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือนแรก

– ยืดหยุ่นต่อการกลายพันธุ์ของไวรัสได้ดีกว่า

– ลดอัตราการป่วยรุนแรง อาการแทรกซ้อนต่างๆ

– ฉีดครั้งเดียวป้องกันได้ทั้งแม่และลูก

– ป้องกันไวรัสได้ทันทีหลังฉีด

– ลดอัตราการป่วยรุนแรง อาการแทรกซ้อนต่างๆ

– ระยะเวลาป้องกันนานกว่า

– ปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงต่ำ

ข้อจำกัด – ภูมิคุ้มกันลดลงหลัง 6 เดือน

– ทารกคลอดก่อนกำหนดอาจได้รับภูมิคุ้มกันไม่เต็มที่

– ต้องฉีดในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น

– ไม่แนะนำให้ฉีดซ้ำหากตั้งครรภ์รอบถัดไป

– ต้องฉีดทุกปี หากยังอยู่ในช่วงวัยเสี่ยง

– อาจไม่ครอบคลุมไวรัสที่กลายพันธุ์

– ราคาสูง

ผลข้างเคียง – บวมแดงบริเวณที่ฉีด

– มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ

– อ่อนเพลีย คลื่นไส้

น้อยกว่าการฉีดวัคซีน เนื่องจากเป็นการให้แอนติบอดีโดยตรง
ราคา เริ่มต้นประมาณ 5,990 บาท/เข็ม เริ่มต้นประมาณ 17,500 บาท/เข็ม

– เด็กอายุ 0–12 เดือน ฉีด 1 เข็ม

– เด็กอายุ 12–24 เดือน ฉีด 2 เข็ม

ไวรัส RSV แม้ว่าจะเป็นเชื้อที่อันตรายสำหรับเด็กเล็กและทารกแรกเกิดถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ แต่ปัจจุบันเราสามารถป้องกันได้ด้วยการ ฉีดวัคซีนป้องกัน RSV ให้คุณแม่ขณะตั้งครรภ์ หรือ ฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปให้ทารก 

ทั้งสองวิธีได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยและเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอให้ลูกป่วยก่อนรักษา สร้างภูมิคุ้มกันตั้งแต่วันนี้ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด 

Scroll to Top