Default fallback image

5 เทคนิคลดน้ำตาลในเลือด ดูแลสุขภาพให้ห่างไกลเบาหวาน

ใคร ๆ ก็รู้ว่าการกินอาหารน้ำสูงอาจนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวาน แต่ถึงอย่างนั้น การกินอร่อยก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิต และน้ำตาลก็เป็นพลังงานให้กับร่างกายด้วย

การงดน้ำตาลไปเลยอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับหลายคน และไม่ใช่วิธีที่จะทำได้ง่าย งั้นลองดูเทคนิคลดน้ำตาลอย่างปลอดภัย กินน้ำตาลแค่ไหนให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว และลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

น้ำตาลกินเท่าไหร่ถึงพอดี และปลอดภัย

ทางการแพทย์แนะนำว่า ปริมาณน้ำตาลต่อวันสำหรับผู้ใหญ่ ไม่ควรเกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชา การบริโภคน้ำตาลเกินกว่านี้ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวน และเกิดการสะสมไขมันในร่างกาย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคอ้วน

ดังนั้น การได้รับน้ำตาลไม่เกินปริมาณที่กำหนดในแต่ละวันจึงปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ ถ้าคุณมีโรคประจำตัว หรือภาวะสุขภาพอื่น  ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมถึงปริมาณน้ำตาลต่อวันที่เหมาะสมและปลอดภัย

5 เทคนิคลดน้ำตาลทำได้ทุกวัน

การลดน้ำตาลแม้จะฟังดูทำได้ยาก แต่ทุกคนเริ่มทำได้ทีละเล็กละน้อยจนกลายเป็นนิสัย ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพในระยะยาว โดยวิธีที่นำมาฝาก สามารถเริ่มต้นทำได้ตั้งแต่วันนี้เลย

1. อ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้ออาหาร

อาหารและเครื่องดื่มตามร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เกตส่วนใหญ่ จะมีฉลากโภชนาระบุไว้เสมอ โดยจะบอกตั้งแต่พลังงานหรือแคลอรีที่จะได้รับ และส่วนที่สำคัญคือปริมาณน้ำตาลด้วย

หากต้องการลดน้ำตาล ควรดูปริมาณน้ำตาลที่ระบุไว้บนฉลาก เพื่อให้รู้ถึงปริมาณน้ำตาลที่จะได้รับ พยายามเลือกซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มที่น้ำตาลน้อย หรือมีน้ำตาลไม่สูงจนเกินไป 

นอกจากนี้ ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน่วยบริโภคที่มักพบในอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มไซส์ใหญ่ พร้อมกับคำว่า ควรแบ่งรับประทาน … ครั้ง เช่น น้ำอัดลม 1 ขวด (1,000 มล.) ระบุว่ามีน้ำตาล 15 กรัม/หน่วยบริโภค และมี 3 หน่วยบริโภค หากคุณดื่มหมด 1 ขวดเท่ากับว่าจะได้รับน้ำตาล 15×3 = 45 กรัม

ดังนั้น ควรอ่านข้อมูลโภชนาการบนฉลากให้ดี เพื่อการบริโภคน้ำตาลที่ปลอดภัย ไม่เพียงน้ำตาลเท่านั้น หลักการนี้ยังสามารถปรับใช้กับสารอาหารอื่น ๆ อย่างไขมัน และโซเดียมได้ด้วย

2. ลดน้ำตาลจากเครื่องดื่ม และขนม

โดยปกติคนเราจะได้รับน้ำตาลจากอาหารมื้อหลัก อย่างข้าวหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวอยู่แล้ว การได้รับน้ำตาลจากเครื่องดื่มและขนมอาจทำให้ได้รับน้ำตาลเกินกว่าที่ควรได้รับ

การลดน้ำตาลจากเครื่องดื่ม และขนมก็เป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยลดการได้รับน้ำตาล นอกจากการงด และลดเครื่องดื่มน้ำตาลสูง และขนมหวานแล้ว สามารถใช้วิธีต่อไปนี้ได้ด้วย

  • เลือกดื่มน้ำที่ไม่มีแคลอรีหรือไม่ให้พลังงาน อย่างน้ำเปล่า ชา กาแฟ
  • มองหาเครื่องดื่มที่ระบุว่า “น้ำตาล 0%” หรือ “น้ำตาลต่ำ” สั่งแบบไม่หวาน หรือหวานน้อย
  • เลือกใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
  • เปลี่ยนจากขนมเป็นผลไม้ ซึ่งมีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ แต่ควรกินผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน และเลือกผลไม้ที่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low glycemic index) อย่างแอปเปิล เบอร์รี หรือฝรั่ง

3. ทำอาหารกินเอง

อาหารสำเร็จรูป และอาหารตามร้านอาหารมักปรุงรสมากกว่าปกติ เพื่อเพิ่มรสชาติที่เข้มข้น การทำอาหารกินเองเป็นประจำหรือบางมื้อจะช่วยลดการได้รับน้ำตาลแฝงในอาหารได้ โดยการทำอาหารกินเอง เพื่อช่วยลดน้ำตาล สามารถใช้เทคนิคต่อไปนี้

  • ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลในการปรุงรส
  • เน้นผักที่มีใยอาหารสูง ซึ่งดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  • เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อย่างข้าวกล้อง และธัญพืช
  • เลือกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมันในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากขนม

4. ออกกำลังกายเป็นประจำ

แม้การออกกำลังกายอาจดูไม่เกี่ยวข้องกับน้ำตาล แต่ข้อมูลทางการแพทย์พบว่า การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยให้ร่างกายจัดการกับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น กระตุ้นการเผาผลาญ ลดการสะสมของไขมันจากการได้รับน้ำตาลมากเกิน และอาจลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

คุณสามารถเริ่มจากการออกกำลังกาย 2030 นาที/วัน อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ อาจจะเป็นการเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำสวน ก็ล้วนนับว่าเป็นการออกกำลังกายได้ แม้การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยลดการกินน้ำตาลโดยตรง แต่ช่วยให้ร่างกายรับมือกับน้ำตาลได้ดีขึ้น

5. ดูแลสุขภาพด้านอื่น เพื่อลดความอยากน้ำตาล  

การดูแลสุขภาพในภาพรวมสามารถช่วยกระตุ้นร่างกายให้รับมือกับน้ำตาลปริมาณมากที่ได้รับจากอาหารได้ และบางวิธีอาจมีส่วนช่วยลดความอยากน้ำตาลได้ด้วย เช่น

  • กินอาหารตรงตามเวลา เพื่อไม่ให้รู้สึกหิวมากเกินไป
  • ลดความเครียด เพราะความเครียดอาจกระตุ้นอาการอยากของหวานได้
  • พักผ่อนให้เพียงพอช่วยรักษาการทำงานของระบบเผาผลาญ ช่วยลดอาการอยากน้ำตาล

หากประสบปัญหาในการลดน้ำตาล หรือการลดน้ำหนักสามารถปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและวิธีที่เหมาะสมตามสถานการณ์ของตัวคุณเองได้

รู้ได้อย่างไรว่าน้ำตาลในเลือดสูง

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการชัดเจน แต่หากคุณมีพฤติกรรมชอบกินของหวาน เสพติดน้ำตาล แล้วพบอาการต่อไปนี้ อาจเป็นผลมาจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงได้

  • กระหายน้ำบ่อย
  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
  • เหนื่อยง่าย

อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นโรคเบาหวานเสมอไป หากต้องรู้แน่ชัด ควรเข้ารับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด 

วิธีตรวจน้ำตาลในเลือดสูง

การตรวจน้ำตาลในเลือดช่วยให้ทราบระดับน้ำตาลในเลือด และประเมินความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ ปัจจุบันมี 2 วิธีด้วยกัน

การตรวจน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar test)
แพทย์จะให้อดอาหารก่อนการตรวจ 8 ชั่วโมง เพื่อดูค่าน้ำตาลในเลือด ค่าปกติของน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารจะอยู่ที่ 70–99 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

  • ค่าระหว่าง 100–125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร บ่งบอกถึงภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
  • ค่ามากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาจเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน

การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (HbA1c)
การตรวจนี้แสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมา ค่าปกติคือ ต่ำกว่า 5.7% หากเกิน 6.5% อาจบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

การตรวจสุขภาพประจำปี และการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด จะช่วยให้ทราบถึงความเสี่ยงโรคเบาหวานได้ดี หากพบว่าค่าน้ำตาลสูง แพทย์จะช่วยประเมินความเสี่ยง พร้อมให้คำแนะนำในการดูแลตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

ตรวจน้ำตาลในเลือดตั้งแต่วันนี้ ดีกว่ารู้ตัวอีกทีเป็นเบาหวานไปแล้ว เปรียบเทียบแพ็กเกจตรวจน้ำตาลในเลือด พร้อมประเมินความเสี่ยงเบาหวาน ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ในราคาเบา ๆ ได้ที่ HDmall.co.th

Scroll to Top