ในช่วงเข้าสู่ฤดูฝนจนถึงฤดูหนาวของแต่ละปีตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ก็จะเริ่มได้ยินคำเตือนจากกรมควบคุมโรคว่าเชื้อไวรัส RSV ทั้งสองสายพันธุ์กำลังจะกลับมาสร้างความกังวลใจให้กับหลายครอบครัวอีกครั้ง1
ซึ่งเชื้อไวรัส RSV นั้นเป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจที่สามารถส่งผลกระทบต่อคนทุกเพศทุกวัยได้ แม้ว่าการติดเชื้อไวรัส RSV อาจมีอาการที่ไม่รุนแรงมากนักในคนทั่วไปที่แข็งแรงดี แต่ในกลุ่มเปราะบางอย่างทารกแรกเกิด เด็กเล็ก ผู้มีโรคเรื้อรัง และผู้สูงวัยนั้นเชื้อไวรัส RSV อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้2
สารบัญ
ไวรัส RSV คืออะไร?
ไวรัส RSV หรือชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus คือ เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในปอดและหลอดลม ซึ่งมักจะระบาดหนักในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว และสามารถติดต่อได้ง่ายผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อน1,3
นอกจากนี้ ไวรัส RSV ยังสามารถก่อให้เกิดภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis) หรือปอดอักเสบ (Pneumonia) ได้หากเกิดการอักเสบรุนแรง และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มทารกแรกเกิด ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง1,2
ไวรัส RSV ระบาดช่วงไหนบ่อยสุด?
จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค ไวรัส RSV มักระบาดบ่อยที่สุดในช่วงฤดูฝนและระบาดต่อเนื่องไปจนถึงต้นฤดูหนาว หรือเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมยาวไปถึงเดือนพฤศจิกายน โดยจะมีการระบาดทั้งสองสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ A และสายพันธุ์ B ซึ่งสามารถก่อโรครุนแรงได้ทั้งคู่1
กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเชื้อไวรัส RSV
เชื้อไวรัส RSV เป็นไวรัสที่สามารถติดต่อได้ในทุกวัย แต่กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจะมีอาการรุนแรงมากกว่าปกติและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเชื้อไวรัส RSV แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ 4 ดังนี้
1. ทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก
กลุ่มทารกแรกเกิดและเด็กเล็กจัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงจากเชื้อไวรัส RSV มากที่สุด โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดในช่วง 6 เดือนแรก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีโรคประจำตัวอย่างโรคหัวใจและโรคปอดเรื้อรัง รวมถึงเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี เด็กเหล่านี้มีโอกาสที่อาการจะทรุดลงอย่างรวดเร็วหากติดเชื้อ RSV เนื่องจากสาเหตุเหล่านี้3,5
- ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ : ทารกและเด็กเล็กจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังไม่สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าผู้ใหญ่6
- ทางเดินหายใจขนาดเล็ก : ทางเดินหายใจของเด็กมีขนาดเล็กกว่าของผู้ใหญ่มาก เมื่อเกิดการอักเสบและบวมจากเชื้อไวรัส RSV หรือมีสารคัดหลั่งมาจำนวนมาก อาจทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง ส่งผลให้หายใจลำบากและเสี่ยงต่อภาวะขาดออกซิเจนได้6
การติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กเล็กจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และภาวะหยุดหายใจชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มทารกคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย หรือเด็กที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ5
นอกจากนี้ การติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กยังอาจเพิ่มโอกาสให้เด็กเป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง เช่น หอบหืด (Asthma) ซึ่งกระทบต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาวได้ด้วย7
2. ผู้ใหญ่ที่มีโรคเรื้อรัง
เชื้อไวรัส RSV ไม่ได้ก่อโรครุนแรงเฉพาะแค่ในเด็กเล็กเท่านั้น แต่ยังสามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงในผู้ใหญ่ได้ด้วย โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหัวใจ เมื่อติดเชื้อไวรัส RSV จึงอาจมีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน ทำให้โรคเหล่านั้นอาการแย่ลง จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตจากการกำเริบของโรคประจำตัวเหล่านี้ได้4,8
ผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัวหรือภาวะเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ RSV รุนแรง8
- กลุ่มอาการดาวน์
- ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง
- โรคหัวใจ
- ภาวะเปราะบาง
- อาศัยในสถานที่ดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ผู้ใหญ่ที่นอนโรงพยาบาลจากติดเชื้อไวรัส RSV กว่า 38% อาจจะต้องกลับมานอนโรงพยาบาลอีกครั้งภายใน 6 เดือนหลังจากการติดเชื้อ RSV ครั้งนั้นและ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยอาจมีโรคหัวใจกำเริบหรือมีสมรรถภาพการทำงานของปอดที่ลดลงหลังการติดเชื้อ9
3. ผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป10 ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเชื้อไวรัส RSV เป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ โดยสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงสูง4 ได้แก่
- ระบบภูมิคุ้มกันที่เสื่อมลงตามวัย : เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ลดลง รวมถึงเชื้อ RSV ด้วย11
- มีโรคประจำตัวเรื้อรัง : ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัวเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหอบหืด หรือโรคหัวใจ ซึ่งทำให้ปอดและระบบไหลเวียนโลหิตอ่อนแอลงและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบหรืออาการกำเริบของโรคประจำตัวเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV4,11
สิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมากคือผู้สูงอายุมากกว่า 1 ใน 3 ที่นอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV อาจสูญเสียทักษะในการทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองไป ซึ่งกระทบทั้งคุณภาพการใช้ชีวิตและช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผู้สูงอายุจะได้ใช้กับลูกหลาน9
อาการเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV เป็นอย่างไร?
อาการเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV ในระยะแรกอาการจะคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำถึงปานกลาง น้ำมูกใสหรือข้น ไอแห้งหรือมีเสมหะ เจ็บคอ คัดจมูก หายใจทางจมูกลำบากหรือมีเสียงหวีด และในทารกจะมีอาการดูดนมได้น้อยลง งอแง รวมถึงหงุดหงิดง่าย ในผู้ใหญ่อาจจะมีอาการคล้าย ๆ กับในเด็กเล็กแต่อาจมีเสียงแหบ ปวดศีรษะ เจ็บคอ และปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วยได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันหมดทุกอาการแต่จะรุนแรงมากน้อยขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการติดเชื้อ8,12
ทั้งในทารกแรกเกิด เด็กเล็ก รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวและผู้สูงอายุ อาจมีโรคที่รุนแรงหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV ลุกลามได้ โดยอาจก่อให้เกิดภาวะเหล่านี้ตามมา8
เด็กทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก
- หลอดลมฝอยอักเสบ
- ปอดอักเสบ
- ภาวะขาดออกซิเจน
- ภาวะขาดน้ำ
- หยุดหายใจชั่วขณะ
- หูอักเสบ
ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
- ปอดอักเสบ
- ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจล้มเหลว หรือโรคหอบหืดกำเริบ
- หลอดลมฝอยอักเสบ
- ภาวะขาดออกซิเจน
วิธีป้องกันเชื้อไวรัส RSV
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาหรือยาต้านไวรัส RSV13 การป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการดูแลสุขอนามัยของลูก รวมถึงการรับวัคซีน RSV ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และผู้สูงอายุ
การป้องกัน RSV ในบ้านที่มีเด็กทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนหรือเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปีเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยผู้ปกครองสามารถดูแลสุขอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส RSV ได้ง่าย ๆ ดังนี้13
- หมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ก่อนสัมผัสเด็ก
- หมั่นทำความสะอาดบนพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ที่กำลังป่วยเป็นไข้หวัด ไอ จาม
- ไม่พาเด็กไปในสถานที่แออัด มีผู้คนจำนวนมาก หรืออากาศไม่ถ่ายเท
สำหรับผู้ใหญ่และผู้สูงอายุต้องการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัส RSV ก็สามารถปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้14
- ควรล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณตา จมูก และปาก ด้วยมือที่ไม่สะอาด
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ที่กำลังป่วยเป็นไข้หวัด ไอ จาม
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่แออัด
อีกหนึ่งในวิธีป้องกันที่สำคัญคือการเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการรับวัคซีน RSV โดยแนะนำในกลุ่มต่อไปนี้
1. หญิงตั้งครรภ์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ทารกแรกเกิดในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด
การรับวัคซีน RSV ชนิดสองสายพันธุ์ (Bivalent) สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ในช่วงที่มีอายุครรภ์ระหว่าง 24-36 สัปดาห์ เพื่อส่งผ่านภูมิคุ้มกันไปยังทารกในครรภ์ให้ทารกมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิดและได้รับการปกป้องจาก RSV ได้นานถึง 6 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีความเสี่ยงสูงที่สุด10
2. ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
ปัจจุบันวัคซีน RSV ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในประเทศไทยมี 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดสองสายพันธุ์ (Bivalent) และชนิดหนึ่งสายพันธุ์ (สายพันธุ์ A)
โดยวัคซีน RSV ชนิดสองสายพันธุ์ (Bivalent) เป็นวัคซีนเพียงชนิดเดียวที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ได้ในผู้ใหญ่ 2 กลุ่ม ได้แก่10,15
- ผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 59 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต และสูบบุหรี่10,15
- ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป10
หนึ่งในวิธีการป้องกันเชื้อไวรัส RSV คือการรับวัคซีน RSV เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงและลดโอกาสในการติดเชื้อรุนแรงจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลจากเชื้อไวรัส RSV ดังนั้นอย่าลืมไปปรึกษาแพทย์เพื่อสร้างเกราะป้องกัน RSV ให้คุณและคนที่คุณที่ห่วงใยปลอดภัย10
*โปรดปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการใช้ยา
PP-A1G-THA-0268
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
1 อาคารพาร์ค สีลม ชั้น 27 ห้อง 2701-2704 และ 2707-2708 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 โทรศัพท์ 02-761-4555