ลูกของคุณได้รับวัคซีนครบรึยัง? วัคซีนพื้นฐาน วัคซีนทางเลือก อีกหนึ่งเช็กลิสต์ที่ผู้ปกครองทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นการป้องกันหรือบรรเทาอาการป่วยรุนแรง ลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลได้อย่างชัดเจน ตามปกติกระทรวงสาธารณสุข จะมีรายการวัคซีนพื้นฐานให้เด็กทุกคนฉีดตามกำหนด แต่สำหรับวัคซีนทางเลือกนั้น ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเช็กลิสต์วัคซีนทางเลือก ซึ่งหากฉีดได้ครบ ก็จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคได้ครอบคลุมมากขึ้น วัคซีนทางเลือกสำหรับเด็กมีอะไรบ้าง ช่วงอายุที่ควรรับวัคซีน และประโยชน์ เราสรุปมาให้แล้ว
สารบัญ
- วัคซีนคืออะไร ทำไมเด็กทุกคนต้องฉีดวัคซีน?
- วัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรต้องฉีด มีอะไรบ้าง?
- วัคซีนทางเลือกที่แนะนำ เพื่อการป้องกันโรคที่ครอบคลุมกว่า มีอะไรบ้าง?
- 1. วัคซีนปอดอักเสบ (Pneumococcal Conjugate Vaccine: PCV)
- 2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
- 3. วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine)
- 4. วัคซีนโควิด 19 (COVID-19 Vaccine)
- 5. วัคซีนตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)
- 6. วัคซีนโรคมือเท้าปาก (Enterovirus 71 Vaccine)
- 7. วัคซีนไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)
- 8. วัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine)
วัคซีนคืออะไร ทำไมเด็กทุกคนต้องฉีดวัคซีน?
วัคซีน (Vaccine) คือสารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ส่วนใหญ่ผลิตจากเชื้อโรค แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
- วัคซีนชนิดเชื้อตาย เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด
- วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (ใช้เชื้อโรคที่อ่อนแอ) เช่น เช่น วัคซีนหัด วัคซีนคางทูม วัคซีนหัดเยอรมัน
- วัคซีนท็อกซอยด์ (ใช้พิษของเชื้อโรคที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์) เช่น วัคซีนป้องกันบาดทะยัก
วัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรต้องฉีด มีอะไรบ้าง?
กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำตารางการฉีดวัคซีนที่จำเป็น และอยู่ในระบบวัคซีนแห่งชาติ (Recommended EPI) ไว้ดังนี้
| อายุ | วัคซีน | คำแนะนำ |
| แรกเกิด | HB1 (วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี) | ควรให้เร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด |
| BCG (วัคซีนป้องกันวัณโรค) | ฉีดให้เด็กก่อนออกจาก รพ. | |
| 1 เดือน | HB2 (วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี) | เฉพาะเด็กที่แม่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี |
| 2 เดือน | DTP-HB-Hib1 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ) | |
| IPV1 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 1) | ||
| Rota1 (วัคซีนโรต้า) | ควรให้เข็มแรกก่อนเด็กอายุครบ 15 สัปดาห์ | |
| 4 เดือน | DTP-HB-Hib2 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ) | |
| IPV2 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 2) | ||
| Rota2 (วัคซีนโรต้า) | ||
| 6 เดือน | DTP-HB-Hib3 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ) | |
| OPV3 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 3) | ||
| Rota3 (วัคซีนโรต้า) | กรณีที่เป็นวัคซีน Rotarix ให้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น และควรให้ครั้งสุดท้ายก่อนเด็กอายุครบ 32 สัปดาห์ | |
| 9 เดือน | MMR1 (วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) | |
| 1 ปี | LAJE1 (วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี) | |
| 1 ปี 6 เดือน | DTP4 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน) | |
| OPV4 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 4) | ||
| MMR2 (วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) | ||
| 2 ปี 6 เดือน | LAJE2 (วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี) | |
| 4 ปี | DTP5 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน) | |
| OPV5 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 5) | ||
| ป.1 | BCG (วัคซีนวัณโรค) |
|
| ตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนว่าครบถ้วนตามรายการข้างต้นหรือไม่ และให้วัคซีนหากได้ไม่ครบตามเกณฑ์ | ||
| ป.5 (หญิง) | HPV (วัคซีนมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV) | |
| ป.6 | dT (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก) | |
วัคซีนทางเลือกที่แนะนำ เพื่อการป้องกันโรคที่ครอบคลุมกว่า มีอะไรบ้าง?
1. วัคซีนปอดอักเสบ (Pneumococcal Conjugate Vaccine: PCV)
เป็นวัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส (Streptococcus Pneumoniae) ซึ่งสามารถก่อโรครุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้ออย่างรุนแรงในเด็กเล็ก
ฉีดกี่เข็ม: หากเริ่มฉีดตอนอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรฉีดทั้งหมด 4 เข็ม หากเริ่มฉีดตอนอายุมากกว่า 2 ปี ควรฉีดทั้งหมด 3 เข็ม
อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน และตามด้วยเข็มต่อๆ ไปตามตารางการฉีดที่กำหนด
2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
เป็นวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) โดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดโอกาสภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และเด็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อน เป็นวัคซีนที่ต้องฉีดซ้ำทุกปี เนื่องจากสายพันธุ์ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จึงมีการปรับปรุงสูตรวัคซีนใหม่ทุกปี
ฉีดกี่เข็ม: 1 เข็ม แนะนำให้ฉีดทุกปี
อายุที่แนะนำให้ฉีด: ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปี ที่ไม่เคยฉีดมาก่อน ควรฉีด 2 เข็ม (ห่างกัน 1 เดือน) หลังจากนั้น ฉีดปีละครั้ง
3. วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine)
วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Chickenpox) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Varicella‑Zoster Virus (VZV) โรคนี้มักทำให้เกิดตุ่มน้ำตามร่างกาย และบางครั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในทารก คุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ฉีดกี่เข็ม: 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน หากได้รับวัคซีนครบ จะลดโอกาสเป็นโรคอีสุกอีใสได้ราว 94-98%
อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 12-18 เดือน
4. วัคซีนโควิด 19 (COVID-19 Vaccine)
วัคซีนช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ลดโอกาสปอดอักเสบ อาการรุนแรง และภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก
ฉีดกี่เข็ม: จำนวนเข็มขึ้นกับชนิดวัคซีนและคำแนะนำปีล่าสุด ส่วนใหญ่เป็น 2 เข็มพื้นฐาน และอาจมี เข็มกระตุ้น (Booster) สำหรับบางช่วงอายุ
อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป (ขึ้นกับชนิดวัคซีนที่ได้รับอนุมัติในแต่ละปี)
5. วัคซีนตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)
วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ซึ่งมักติดต่อจากการรับประทานอาหาร หรือ น้ำดื่ม ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผู้เตรียมอาหารเป็นพาหะของโรค หรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อ โรคไวรัสตับอักเสบเอ จะทำให้เกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน อาเจียน เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง
ฉีดกี่เข็ม: โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม เข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกัน 6-12 เดือน และร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกประมาณ 4 สัปดาห์ และคงอยู่ได้นาน 20 ปีขึ้นไป หรือบางรายอาจมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต
อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-18 เดือน
6. วัคซีนโรคมือเท้าปาก (Enterovirus 71 Vaccine)
คือวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอ็นเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71: EV71) ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อโรคมือ เท้า ปาก (HFMD) โดยเป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก
โรคมือ เท้า ปาก สามารถติดต่อได้ 3 ทางหลัก คือ
- การสัมผัสโดยตรง เช่น น้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มแผล หรืออุจจาระ
- การสัมผัสทางอ้อม เช่น ของเล่น ของใช้ร่วมกันที่ปนเปื้อน
- การหายใจ เช่น จากการไอ หรือจามรดกัน โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปากเป็นหลัก
โรคนี้สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ วัคซีน EV71 ช่วยลดการป่วยหนักจากสายพันธุ์นี้
ฉีดกี่เข็ม: โดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน ภูมิคุ้มกันอยู่ได้ประมาณ 2 ปี โดยป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 97.3%
อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป
7. วัคซีนไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)
วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue) 4 สายพันธุ์ ซึ่งทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก อาการแสดงของโรคคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้สูง ปวดศรีษะ เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่าตนเป็นเพียงไข้หวัด ส่งผลให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จนอาจทำให้โรครุนแรงขึ้น เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ช็อก เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ
ฉีดกี่เข็ม: โดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 3 เดือน ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4%
อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป
8. วัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine)
วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ซึ่งเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตเกือบ 100% หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จนร่างกายเริ่มแสดงอาการ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และอาจทำให้เกิดการอักเสบในสมองได้ เชื้อพิษสุนัขบ้าสามารถติดต่อได้จากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัด หรือข่วนจนเป็นแผล
การฉีดวัคซีนมีทั้งแบบ Pre-Exposure (ก่อนสัมผัสโรค) และ Post-Exposure (หลังโดนกัด)
ฉีดกี่เข็ม:
- ก่อนสัมผัส (Pre-Exposure): ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 7 วัน ส่วนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน
- หลังสัมผัส (Post-Exposure): หากไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน อาจต้องฉีดวัคซีนทั้งหมด 4 เข็ม โดยเข็มแรกจะต้องฉีดให้เร็วที่สุดหลังถูกกัด จากนั้นให้ฉีดเข็มถัดไป วันที่ 3, 7 และ 14 หลังจากเข็มแรกตามลำดับ
หากเคยรับวัคซีนมาก่อน อาจฉีดกระตุ้นเพียง 2 เข็ม เข็มแรกฉีดทันทีหลังถูกกัด เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 3 วัน
วัคซีนทั้งพื้นฐานและวัคซีนทางเลือก เป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการป่วยรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กที่ได้รับวัคซีนครบตามวัยมีโอกาสป่วยน้อยกว่า และฟื้นตัวเร็วกว่า
การพาลูกไปฉีดวัคซีนตามกำหนด รวมถึงพิจารณาวัคซีนเสริมที่เหมาะสม จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว ที่พ่อแม่ทุกคนสามารถปกป้องลูกได้ตั้งแต่วันนี้

