วัคซีนทางเลือกเด็ก

เช็กลิสต์วัคซีนทางเลือกสำหรับเด็ก ฉีดป้องกันครบ ปลอดภัยกว่า

ลูกของคุณได้รับวัคซีนครบรึยัง? วัคซีนพื้นฐาน วัคซีนทางเลือก อีกหนึ่งเช็กลิสต์ที่ผู้ปกครองทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นการป้องกันหรือบรรเทาอาการป่วยรุนแรง ลดอัตราการเข้าโรงพยาบาลได้อย่างชัดเจน ตามปกติกระทรวงสาธารณสุข จะมีรายการวัคซีนพื้นฐานให้เด็กทุกคนฉีดตามกำหนด แต่สำหรับวัคซีนทางเลือกนั้น ก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม 

บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลเช็กลิสต์วัคซีนทางเลือก ซึ่งหากฉีดได้ครบ ก็จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคได้ครอบคลุมมากขึ้น วัคซีนทางเลือกสำหรับเด็กมีอะไรบ้าง ช่วงอายุที่ควรรับวัคซีน และประโยชน์ เราสรุปมาให้แล้ว

วัคซีนคืออะไร ทำไมเด็กทุกคนต้องฉีดวัคซีน?

วัคซีน (Vaccine) คือสารชนิดหนึ่งที่ฉีดเข้าร่างกาย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ ส่วนใหญ่ผลิตจากเชื้อโรค แบ่งเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ 

  1. วัคซีนชนิดเชื้อตาย เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีนโปลิโอชนิดฉีด
  2. วัคซีนชนิดเชื้อเป็น (ใช้เชื้อโรคที่อ่อนแอ) เช่น เช่น วัคซีนหัด วัคซีนคางทูม วัคซีนหัดเยอรมัน
  3. วัคซีนท็อกซอยด์ (ใช้พิษของเชื้อโรคที่ถูกทำให้หมดฤทธิ์) เช่น วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

วัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนควรต้องฉีด มีอะไรบ้าง?

กระทรวงสาธารณสุข ได้แนะนำตารางการฉีดวัคซีนที่จำเป็น และอยู่ในระบบวัคซีนแห่งชาติ (Recommended EPI) ไว้ดังนี้

อายุ วัคซีน คำแนะนำ
แรกเกิด HB1 (วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี) ควรให้เร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
BCG (วัคซีนป้องกันวัณโรค) ฉีดให้เด็กก่อนออกจาก รพ.
1 เดือน HB2 (วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบี) เฉพาะเด็กที่แม่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี
2 เดือน DTP-HB-Hib1 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ)
IPV1 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 1)
Rota1 (วัคซีนโรต้า) ควรให้เข็มแรกก่อนเด็กอายุครบ 15 สัปดาห์
4 เดือน DTP-HB-Hib2 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ)
IPV2 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 2)
Rota2 (วัคซีนโรต้า)
6 เดือน DTP-HB-Hib3 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ)
OPV3 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 3)
Rota3 (วัคซีนโรต้า) กรณีที่เป็นวัคซีน Rotarix ให้เพียง 2 ครั้งเท่านั้น และควรให้ครั้งสุดท้ายก่อนเด็กอายุครบ 32 สัปดาห์
9 เดือน MMR1 (วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)
1 ปี LAJE1 (วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี)
1 ปี 6 เดือน DTP4 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน)
OPV4 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 4)
MMR2 (วัคซีนหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน)
2 ปี 6 เดือน LAJE2 (วัคซีนไข้สมองอักเสบเจอี)
4 ปี DTP5 (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน)
OPV5 (วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ครั้งที่ 5)
ป.1 BCG (วัคซีนวัณโรค)
  • ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่าเคยได้รับเมื่อแรกเกิด และไม่มีมีแผลเป็น
  • ไม่ให้ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการของโรคเอดส์
ตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีนว่าครบถ้วนตามรายการข้างต้นหรือไม่ และให้วัคซีนหากได้ไม่ครบตามเกณฑ์
ป.5 (หญิง) HPV (วัคซีนมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV)
ป.6 dT (วัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก)

 

วัคซีนทางเลือกที่แนะนำ เพื่อการป้องกันโรคที่ครอบคลุมกว่า มีอะไรบ้าง?

1. วัคซีนปอดอักเสบ (Pneumococcal Conjugate Vaccine: PCV)

เป็นวัคซีนป้องกันเชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส (Streptococcus Pneumoniae) ซึ่งสามารถก่อโรครุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้ออย่างรุนแรงในเด็กเล็ก 

ฉีดกี่เข็ม: หากเริ่มฉีดตอนอายุน้อยกว่า 2 ปี ควรฉีดทั้งหมด 4 เข็ม หากเริ่มฉีดตอนอายุมากกว่า 2 ปี ควรฉีดทั้งหมด 3 เข็ม

อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน และตามด้วยเข็มต่อๆ ไปตามตารางการฉีดที่กำหนด

2. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)

เป็นวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza) โดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดโอกาสภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก และเด็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อน เป็นวัคซีนที่ต้องฉีดซ้ำทุกปี เนื่องจากสายพันธุ์ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จึงมีการปรับปรุงสูตรวัคซีนใหม่ทุกปี 

ฉีดกี่เข็ม: 1 เข็ม แนะนำให้ฉีดทุกปี

อายุที่แนะนำให้ฉีด: ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปี ที่ไม่เคยฉีดมาก่อน ควรฉีด 2 เข็ม (ห่างกัน 1 เดือน) หลังจากนั้น ฉีดปีละครั้ง

3. วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine)

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส (Chickenpox) ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส Varicella‑Zoster Virus (VZV) โรคนี้มักทำให้เกิดตุ่มน้ำตามร่างกาย และบางครั้งอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ สมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะในทารก คุณแม่ตั้งครรภ์ ผู้ใหญ่ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ

ฉีดกี่เข็ม: 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน หากได้รับวัคซีนครบ จะลดโอกาสเป็นโรคอีสุกอีใสได้ราว 94-98% 

อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดเข็มแรกได้ตั้งแต่อายุ 12-18 เดือน 

4. วัคซีนโควิด 19 (COVID-19 Vaccine)

วัคซีนช่วยลดความรุนแรงของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 ลดโอกาสปอดอักเสบ อาการรุนแรง และภาวะอักเสบหลายระบบในเด็ก

ฉีดกี่เข็ม: จำนวนเข็มขึ้นกับชนิดวัคซีนและคำแนะนำปีล่าสุด ส่วนใหญ่เป็น 2 เข็มพื้นฐาน และอาจมี เข็มกระตุ้น (Booster) สำหรับบางช่วงอายุ

อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป (ขึ้นกับชนิดวัคซีนที่ได้รับอนุมัติในแต่ละปี)

5. วัคซีนตับอักเสบเอ (Hepatitis A Vaccine)

วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ (HAV) ซึ่งมักติดต่อจากการรับประทานอาหาร หรือ น้ำดื่ม ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผู้เตรียมอาหารเป็นพาหะของโรค หรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อ โรคไวรัสตับอักเสบเอ จะทำให้เกิดอาการตับอักเสบเฉียบพลัน อาเจียน เบื่ออาหาร ตัวเหลือง ตาเหลือง

ฉีดกี่เข็ม: โดยทั่วไปแนะนำให้ฉีด 2 เข็ม เข็มแรกและเข็มที่ 2 ห่างกัน 6-12 เดือน และร่างกายจะเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันหลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกประมาณ 4 สัปดาห์ และคงอยู่ได้นาน 20 ปีขึ้นไป หรือบางรายอาจมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต

อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 12-18 เดือน

6. วัคซีนโรคมือเท้าปาก (Enterovirus 71 Vaccine)

คือวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอ็นเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71: EV71) ซึ่งเป็นเชื้อที่ก่อโรคมือ เท้า ปาก (HFMD) โดยเป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก 

โรคมือ เท้า ปาก สามารถติดต่อได้ 3 ทางหลัก คือ 

  • การสัมผัสโดยตรง เช่น น้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มแผล หรืออุจจาระ
  • การสัมผัสทางอ้อม เช่น ของเล่น ของใช้ร่วมกันที่ปนเปื้อน
  • การหายใจ เช่น จากการไอ หรือจามรดกัน โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปากเป็นหลัก  

โรคนี้สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้ วัคซีน EV71 ช่วยลดการป่วยหนักจากสายพันธุ์นี้ 

ฉีดกี่เข็ม: โดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน ภูมิคุ้มกันอยู่ได้ประมาณ 2 ปี โดยป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 97.3% 

อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป

7. วัคซีนไข้เลือดออก (Dengue Vaccine)

วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue) 4 สายพันธุ์ ซึ่งทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก อาการแสดงของโรคคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้สูง ปวดศรีษะ เป็นต้น ทำให้ผู้ป่วยบางรายเข้าใจว่าตนเป็นเพียงไข้หวัด ส่งผลให้ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จนอาจทำให้โรครุนแรงขึ้น เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ช็อก เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังเป็นพิเศษ

ฉีดกี่เข็ม: โดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 3 เดือน ลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4%

อายุที่แนะนำให้ฉีด: เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปีขึ้นไป

8. วัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies Vaccine)

วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ซึ่งเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตเกือบ 100% หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จนร่างกายเริ่มแสดงอาการ โดยเชื้อไวรัสจะเข้าไปส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง และอาจทำให้เกิดการอักเสบในสมองได้ เชื้อพิษสุนัขบ้าสามารถติดต่อได้จากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัด หรือข่วนจนเป็นแผล

การฉีดวัคซีนมีทั้งแบบ Pre-Exposure (ก่อนสัมผัสโรค) และ Post-Exposure (หลังโดนกัด)

ฉีดกี่เข็ม:

  • ก่อนสัมผัส (Pre-Exposure): ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 7 วัน ส่วนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับแพทย์ประเมิน
  • หลังสัมผัส (Post-Exposure): หากไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน อาจต้องฉีดวัคซีนทั้งหมด 4 เข็ม โดยเข็มแรกจะต้องฉีดให้เร็วที่สุดหลังถูกกัด จากนั้นให้ฉีดเข็มถัดไป วันที่ 3, 7 และ 14 หลังจากเข็มแรกตามลำดับ

หากเคยรับวัคซีนมาก่อน อาจฉีดกระตุ้นเพียง 2 เข็ม เข็มแรกฉีดทันทีหลังถูกกัด เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 3 วัน

วัคซีนทั้งพื้นฐานและวัคซีนทางเลือก เป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการป่วยรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เด็กที่ได้รับวัคซีนครบตามวัยมีโอกาสป่วยน้อยกว่า และฟื้นตัวเร็วกว่า

การพาลูกไปฉีดวัคซีนตามกำหนด รวมถึงพิจารณาวัคซีนเสริมที่เหมาะสม จึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาว ที่พ่อแม่ทุกคนสามารถปกป้องลูกได้ตั้งแต่วันนี้

Scroll to Top