การทดสอบเพื่อวินิจฉัยภาวะหัวใจ เป็นสิ่งที่ควรตรวจเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจร้ายแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต มีหลายวิธี เช่น การเอกซเรย์ การตรวจเลือด การตรวจคลื่นสะท้อนหัวใจ และการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ภาวะหัวใจแบ่งออกเป็นหลายภาวะ แต่ละภาวะจะมีความรุนแรงมากน้อยไม่เท่ากัน ตัวอย่างภาวะหัวใจที่จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างท่วงที ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต เช่น ภาวะหัวใจวาย และภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหัวใจเหล่านี้ เราจึงควรเข้ารับการตรวจหาภาวะหัวใจทั่วไปเป็นประจำทุกปี โดยจะมีการวินิจฉัยด้วยวิธีการต่างๆ ดังนี้
สารบัญ
- การตรวจชีพจร
- การวัดความดันโลหิต
- การตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiogram)
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG หรือ Elektrokardiogram: EKG)
- การทดสอบความทนต่อการออกกำลังกาย (Exercise Tolerance Test: ETT)
- การถ่ายภาพสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Computed Tomography: Cardiac CT)
- การสแกนด้วยทัลเลียม (Thallium Scan)
- การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram)
- การตรวจเลือด
- การเอกซเรย์หน้าอก (Chest x-ray)
การตรวจชีพจร
การวัดชีพจรเป็นการวัดสำคัญในการตรวจสอบสุขภาพของหัวใจ โดยวัดจากจำนวนครั้งที่หัวใจเต้นต่อนาที เพื่อประเมินว่า ชีพจรของคุณเต้นเป็นปกติหรือไม่ และตรวจวัดความแข็งแรงของชีพจร
การวัดชีพจรสามารถดำเนินการด้วยบุคลากรทางการแพทย์ หรือทำด้วยตัวคุณเองก็ได้
การวัดความดันโลหิต
การวัดความดันโลหิตมีหน่วยวัด 2 ค่า คือ
- ค่าความดันตัวบน (Systolic Pressure): ค่าความดันโลหิตภายในหลอดเลือดขณะที่หัวใจบีบรัดตัวเองและดันเลือดออกสู่หลอดเลือดแดง
- ค่าความดันตัวล่าง (Diastolic Pressure): ค่าความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว
ความดันโลหิตของคุณจะผันแปรไปตลอดทั้งวันขึ้นอยู่กับว่าคุณทำอะไร โดยค่าความดันโลหิตอาจได้รับผลกระทบจาก “โรคกลัวหมอ (White coat hypertension)” ที่ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นขณะที่คุณกำลังรับการวัดความดันกับแพทย์
เพื่อป้องกันภาวะนี้ คุณควรพยายามผ่อนคลายตัวเองไว้ด้วยการนั่งทำสมาธิเงียบๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาทีก่อนเข้ารับการวัดความดัน และควรแจ้งแพทย์ที่ทำการตรวจวัดความดันหากคุณกำลังใช้ยาบางชนิดอยู่ เนื่องจากฤทธิ์ยาอาจส่งผลต่อค่าความดันโลหิตได้
การตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (Echocardiogram)
คนส่วนมากนิยมเรียกสั้นๆ ว่าการตรวจ “เอคโค่” เป็นการอัลตราซาวด์หัวใจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพของหัวใจขึ้นมา วิธีการนี้สามารถตรวจสอบรายละเอียดหัวใจเพิ่มเติมได้ เช่น
- ขนาดของหัวใจ
- การบีบรัดและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
- การทำงานของลิ้นหัวใจ
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG หรือ Elektrokardiogram: EKG)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจคือ การบันทึกกิจกรรมทางไฟฟ้าของหัวใจ เพื่อให้สามารถระบุปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอัตราการเต้นของหัวใจ แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่
- ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพัก:
เป็นการตรวจระหว่างที่คุณนอนอยู่ในท่าทางผ่อนคลาย - ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย:
การทดสอบขณะที่คุณใช้ลู่วิ่งหรือจักรยานออกกำลังกายอยู่ - การติดตั้งการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอด 24 ชั่วโมง: จะมีการติดตั้งเครื่องมือขนาดพกพาที่ตัวของคุณเพื่อให้มีการเก็บข้อมูลคลื่นไฟฟ้าหัวใจตลอดเวลา อาจเป็นการทดสอบอยู่ที่บ้าน หรือโรงพยาบาลก็ได้ โดยการทดสอบนี้จะใช้เวลา 1-2 วัน
การทดสอบความทนต่อการออกกำลังกาย (Exercise Tolerance Test: ETT)
มีอีกชื่อเรียกหนึ่งคือ การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) วิธีนี้จะคล้ายกับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แต่แตกต่างตรงที่ ETT เป็นการบันทึกกิจกรรมของหัวใจขณะที่ต้องทำงานหนักอยู่ เช่น ขณะที่คุณกำลังเดินอยู่บนลู่วิ่ง โดยการทดสอบ ETT จะมีไว้ตรวจสอบว่า หัวใจตอบสนองต่อการออกแรงอย่างไรบ้าง
การถ่ายภาพสะท้อนแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
การตรวจประเภทนี้จะใช้พลังงานแม่เหล็กที่ปล่อยออกมาในเครื่องสแกนเพื่อร่างภาพหัวใจและหลอดเลือดออกมา วิธีการตรวจนี้ใช้เพื่อตรวจหาปัญหาเกี่ยวกับโครงสร้างของหัวใจและการไหลเวียนโลหิต การตรวจหัวใจด้วยวิธีนี้จะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นจะต้องทำร่วมกับการฉีดสารสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram)
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจ (Cardiac Computed Tomography: Cardiac CT)
Cardiac CT จะใช้เครื่องเอกซเรย์ชนิดพิเศษที่เคลื่อนไปรอบๆ ร่างกายเพื่อให้ได้ภาพจำลองหัวใจแบบ 3D ออกมา
การสแกนด้วยทัลเลียม (Thallium Scan)
การสแกนประเภทนี้จะแสดงให้เห็นว่า เลือดที่ไหลไปยังกล้ามเนื้อหัวใจผ่านหลอดเลือดหัวใจปกติดีหรือไม่ โดยจะมีการฉีดสารทัลเลียม (กัมมันตรังสีชนิดหนึ่ง) ปริมาณเล็กน้อยเข้าไปในหลอดเลือดดำ และใช้กล้องชนิดพิเศษเคลื่อนไปรอบๆ หัวใจเพื่อหาร่องรอยของทัลเลียม หลังจากนั้นจะส่งออกมาเป็นภาพ
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram)
เป็นการเอกซเรย์ประเภทหนึ่งที่ใช้ตรวจหลอดเลือดหัวใจที่ใช้ส่งเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นวิธีวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ (ภาวะที่ส่งผลกับหลอดเลือดโดยรอบหัวใจ) ที่ดีที่สุด
โดยระหว่างการทดสอบจะมีการใช้สายสวนเรียวยาวและยืดหยุ่นสอดเข้าไปในหลอดเลือดบริเวณขาหนีบหรือแขน ปลายของสายสวนนี้จะถูกดันเข้าไปยังหัวใจและหลอดเลือดแดงหัวใจ จากนั้นจะมีการฉีดสารสีชนิดพิเศษเข้าไปยังหลอดเลือดหัวใจก่อนมีการถ่ายภาพเอกซเรย์ออกมา ภาพที่ได้จะใช้ในการหาภาวะตีบแคบหรือการอุดตันของหลอดเลือดแดงที่อาจเป็นต้นตอของอาการต่างๆ
การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจนอกจากใช้สำหรับการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจแล้ว การทดสอบนี้ยังจำเป็นต่อการวินิจฉัยผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจอีกด้วย
การตรวจเลือด
มีวิธีการตรวจเลือดหลายวิธีที่สามารถวินิจฉัยสาเหตุของภาวะหัวใจต่างๆ ได้ และเพื่อวัดระดับต่างๆ ในร่างกายที่สามารถส่งผลต่อหัวใจได้ เช่น
- การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ (Complete Blood Count: CBC): เป็นการทดสอบวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด อีกทั้งยังวัดระดับของฮีโมโกลบินได้อีกด้วย
- การตรวจยูเรียและอีเล็กโตรไลท์ (Urea and Electrolytes): ระดับของยูเรียจะบ่งชี้ว่า ไตทำงานเป็นอย่างไร ขณะที่อีเล็กโตรไลท์จะช่วยทำให้การเต้นของหัวใจคงที่
- กลูโคส (Glucose): การทดสอบนี้จะช่วยวัดระดับน้ำตาลในเลือด
- การตรวจวัดการทำงานของตับและไทรอยด์ (Liver and Thyroid Function)
- การทดสอบโทรโปนิน (Troponin) ในเลือด: โทรโปนิน คือโปรตีนที่ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดเมื่อกล้ามเนื้อหัวใจได้รับความเสียหาย การมีอยู่ของโทรโปนินจะช่วยให้แพทย์ตรวจพบและประเมินความเสียหายที่หัวใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ และยังช่วยในการประเมินสมมติฐานต่อภาวะหัวใจวายได้อีกด้วย
- การวัดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันในเลือด
การเอกซเรย์หน้าอก (Chest x-ray)
การเอกซเรย์หน้าอกจะมีประโยชน์ต่อการแสดงขนาดและรูปร่างของหัวใจ และใช้เพื่อตรวจจับภาวะผิดปกติต่างๆ ที่หน้าอก และยังแสดงให้เห็นของเหลวภายในปอดที่อาจเกิดมาจากโรคหัวใจอีกด้วย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล