ในช่วงวัยแรกเกิด ทารกมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่และมีทางเดินหายใจที่มีขนาดเล็ก1 ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อจากไวรัสทางเดินหายใจได้หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือ เชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในเด็กทารก มักมีอาการรุนแรง เช่นหลอดลมฝอยอักเสบและปอดบวมซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิดที่อายุน้อยกว่า 6 เดือนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด2
ซึ่งปัจจุบันการติดเชื้อไวรัส RSV ยังไม่มียารักษาโดยตรง3 ดังนั้น การดูแลป้องกัน การได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม รวมถึงการเฝ้าระวังและสังเกตอาการตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกได้4
ในบทความนี้จึงจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปสังเกตอาการแรกเริ่มที่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ วิธีดูแลรักษาการติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กแรกเกิดที่ถูกต้อง พร้อมวิธีป้องกันเพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัยจากไวรัส RSV กัน!
สารบัญ
โรคติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กแรกเกิด คืออะไร?
เชื้อไวรัส RSV คือ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ โดยมักมีอาการรุนแรงในเด็กทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว อาการแรกเริ่มในเด็กเล็ก มักแสดงออกด้วยการมีไข้ ไอ จาม มีเสมหะมาก เบื่ออาหาร ซึมลง และอาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจบวมจนเกิดอาการเหนื่อยหอบและหายใจลำบาก หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมก็อาจลุกลามจนเกิดปอดอักเสบได้2
อาการที่พ่อแม่ต้องสังเกตเมื่อลูกติดเชื้อไวรัส RSV
การที่พ่อแม่สังเกตอาการของลูกตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถึงแม้ไวรัส RSV อาการเริ่มแรกจะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่เชื้อไวรัส RSV มีความรุนแรงกว่านั้นมาก สามารถลุกลามและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ โดยเฉพาะในทารกแรกเกิดที่อายุน้อยกว่า 6 เดือน5
โดยเริ่มแรกเด็กมักจะมีอาการไข้ มีน้ำมูก ไอ จาม หรืออ่อนเพลีย ซึ่งถึงแม้ว่าอาการเหล่านี้จะดูเป็นแค่อาการเล็กน้อย แต่พ่อแม่ก็ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาทันที เพราะอาการของ RSV ในเด็กเล็กสามารถทรุดลงได้อย่างรวดเร็ว3
แต่ถ้าลูกมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) มีภาวะขาดน้ำ ซึมลง ตัวเขียว ริมฝีปาก เล็บมือ หรือปลายเท้ามีสีเขียวคล้ำ อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่แสดงให้เห็นว่าเชื้อไวรัส RSV ลุกลามเข้าสู่หลอดลมฝอยและปอด พ่อแม่ควรรีบพาลูกกลับไปพบแพทย์และทำการรักษาทันที3
การดูแลรักษาลูกเมื่อติดเชื้อไวรัส RSV
เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส RSV ยังไม่มียารักษาที่เป็นยาต้านไวรัสโดยตรง หากอาการไม่รุนแรงมาก แพทย์มักจะแนะนำให้เด็กกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล และการรักษามักจะเน้นไปที่การดูแลตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ใช้น้ำเกลือล้างจมูก และให้ลูกดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ6
แต่ถ้าหากเชื้อไวรัส RSV ลุกลามสู่ระบบทางเดินหายใจส่วนล่างบริเวณหลอดลมฝอยและปอด พ่อแม่ควรรีบพาลูกกลับไปพบแพทย์อีกครั้งทันที โดยการดูแลรักษาเด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรงอาจต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งจะเป็นการดูแลตามอาการ เช่น ให้ออกซิเจนในกรณีที่หายใจลำบาก หรือให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดสำหรับเด็กที่มีภาวะขาดน้ำ6
วิธีป้องกันลูกให้ปลอดภัยจากไวรัส RSV ตั้งแต่ก่อนคลอด
จะเห็นได้ว่าเชื้อไวรัส RSV เป็นภัยร้ายสำหรับทารกแรกเกิดและทำให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้2 ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญที่สุดคือการป้องกันลูกให้ปลอดภัยจากไวรัส RSV ตั้งแต่ก่อนคลอด
โดยปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันและส่งผ่านภูมิคุ้มกันทางรกไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิดและปกป้องเด็กจากเชื้อไวรัส RSV ได้นานถึง 6 เดือนแรกของชีวิต7
วิธีดูแลเด็กแรกเกิดให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส RSV หลังคลอด
แม้ว่าคุณแม่จะได้รับวัคซีน RSV ระหว่างตั้งครรภ์ให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส RSV แล้ว แต่การดูแลสุขอนามัยให้ลูกน้อยหลังคลอดก็เป็นอีกหนึ่งด่านที่ช่วยปกป้องลูกจากเชื้อไวรัส RSV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีการดูแลสุขอนามัยที่แนะนำมีดังนี้4
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
- ทำความสะอาดบ้าน ของเล่น และพื้นผิวที่เด็กสัมผัสเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกสัมผัสตา จมูก หรือปาก ถ้ามือไม่สะอาด
- หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในที่แออัด
- งดให้ลูกสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
หากคุณแม่ท่านใดที่ยังไม่เคยรับวัคซีน RSV มาก่อน สามารถปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป (Monoclonal Antibody) เพื่อป้องกันลูกจากเชื้อไวรัส RSV หลังคลอดได้8
คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านบทความมาถึงตรงนี้แล้ว จะเห็นว่าลูกน้อยแรกเกิดมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัส RSV มากแค่ไหน ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้2 ดังนั้นอย่าลืมไปปรึกษาสูติแพทย์หรือแพทย์ประจำตัวที่คุณแม่ฝากครรภ์อยู่เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยตั้งแต่ลมหายใจแรกของชีวิต
PP-A1G-THA-0291
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
1 อาคารพาร์ค สีลม ชั้น 27 ห้อง 2701-2704 และ 2707-2708 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 โทรศัพท์ 02-761-4555
*โปรดปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการใช้ยา