สมองทำงานอย่างไร ไขความลับระบบสุดซับซ้อน

สมองทำงานอย่างไร ไขความลับระบบสุดซับซ้อน

สมอง (Brain) เป็นอวัยวะมหัศจรรย์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อความอยู่รอด สมองของมนุษย์ถือว่ามีพัฒนาการสูงสุดในบรรดาสิ่งมีชีวิต มีการทำงานที่ซับซ้อนที่สุด อีกทั้งยังเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ และจดจำได้ดีที่สุดด้วย แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันก็ยังอธิบายการทำงานของสมองไม่ได้ 100% เพราะสมองนั้นมีหลายส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็มีบทบาทหน้าที่และความสำคัญแตกต่างกัน แต่ทำงานสอดประสานกันทั้งหมด

ดังนั้น บทความนี้จะพามาไขความลับของสมองให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ภายในเวลาแค่ 3 นาทีเท่านั้น พร้อมด้วยโรคต่าง ๆ ที่พบบ่อย และวิธีดูแลสมองให้แข็งแรง 

การทำงานของสมอง

สมองเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวของมนุษย์ โดยมีน้ำหนักประมาณ 1.4 กิโลกรัม ภายในสมองประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากถึง 90% และได้รับการปกป้องอย่างดีด้วยกะโหลกศีรษะที่มีความหนา

โดยเฉลี่ยแล้ว สมองผู้ใหญ่จะมีเซลล์สมองนับ 1 แสนล้านเซลล์ แต่ละเซลล์จะมีแขนงที่เชื่อมต่อกันกลายเป็นร่างแหขนาดใหญ่สุดซับซ้อน

เมื่อได้รับข้อมูลหรือสิ่งกระตุ้นจากภายนอก เซลล์สมองจะส่งข้อมูลเป็นกระแสไฟฟ้าผ่านทางจุดส่งกระแสประสาทของเซลล์ เรียกว่า “ปลายประสาทแอกซอน (Axon)” ไปยังจุดรับกระแสประสาทของเซลล์ข้างเคียงที่มีชื่อว่า “ปลายประสาทเดนไดรท์ (Dendrite)”

จุดที่เชื่อมต่อระหว่างแอกซอนและเดนไดรท์ เรียกว่า “ซิแนปส์ (Synapse)” เป็นจุดที่เปลี่ยนสัญญาณกระแสไฟฟ้าให้เป็นสารเคมี หรือเรียกว่า “สารสื่อประสาท” ทำให้ร่างกายรับรู้ข้อมูล เช่น รับสัมผัส เห็นภาพ ได้กลิ่น จากนั้นก็จะตอบสนอง และสั่งการต่อไป

สมองของมนุษย์เป็นอวัยวะที่ยืดหยุ่น เครือข่ายการเชื่อมโยงของเซลล์สมองสามารถเพิ่มขึ้น ซับซ้อนขึ้น และเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ตามการเรียนรู้กับประสบการณ์ที่ได้รับ ทำให้มนุษย์รู้จักปรับตัวได้ตลอดเวลา

ยิ่งการเชื่อมโยงของเซลล์สมองซับซ้อนมากเท่าไร ทักษะการคิดวิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหายาก ๆ หรือที่เรียกว่า “ความฉลาด” ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

สมอง แบ่งออกเป็นกี่ส่วน

สมองมี 3 ส่วน ซึ่งแต่ละส่วนก็ทำหน้าที่รับรู้และตอบสนองแตกต่างกัน ดังนี้

  • สมองส่วนหน้า (Fore brain)
  • สมองส่วนกลาง (Midbrain)
  • สมองส่วนท้าย (Hindbrain)

สมองส่วนหน้า คืออะไร ทำงานอย่างไร 

สมองส่วนหน้า (Fore brain) เรียกอีกชื่อว่า สมองส่วนหน้าผาก เป็นส่วนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีรอยหยักจำนวนมาก แบ่งแยกย่อยได้อีกหลายส่วน ยกตัวอย่างส่วนที่สำคัญ เช่น

  1. ซีรีบรัม (Cerebrum) หรือสมองใหญ่

แบ่งออกเป็นสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา โดยสมองซีกซ้ายควบคุมร่างกายซีกขวา ส่วนสมองซีกขวาควบคุมร่างกายซีกซ้าย 

ซีรีบรัมแบ่งออกเป็น 5 ส่วน (หรือ 5 พู) ทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

  • กลีบหน้า (Frontal lobe) ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลาย ความคิด การวางแผน การแก้ปัญหา การตัดสินใจ ความจำ สติปัญญา และการใช้ภาษา
  • กลีบขมับ (Temporal lobe) ควบคุมการได้ยิน การดมกลิ่น ความเข้าใจด้านภาษา และการฟัง
  • กลีบข้าง (Parietal lobe) การรับรส และความรู้สึกจากการสัมผัส อุณหภูมิ ความเจ็บปวด
  • กลีบท้ายทอย (Occipital lobe) ควบคุมการมองเห็น การรวมภาพที่เห็นเข้ากับประสบการณ์และความรู้สึก
  • กลีบด้านในของด้านขมับ (insular lobe) ทำงานเกี่ยวกับความทรงจำ
  1. ออลแฟกทอรีบัลบ์ (Olfactory bulb)

ออลแฟกทอรีบัลบ์อยู่หน้าสุดของสมองส่วนหน้า ทำหน้าที่เกี่ยวกับการดมกลิ่น ซึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สมองส่วนนี้จะมีขนาดเล็ก และไม่เจริญมากนัก

  1. ทาลามัส (Thalamus)

อยู่เหนือไฮโพทาลามัส ทาลามัสเป็นจุดศูนย์กลางในการถ่ายทอดกระแสประสาทไปยังสมองส่วนต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเป็นจุดรับรู้ และจุดตอบสนองต่อความรู้สึกเจ็บปวดด้วย

  1. ไฮโพทาลามัส (Hypothalamus)

ไฮโพทาลามัสสร้างความสมดุลให้กับระบบการทำงานของร่างกาย มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น

  • ควบคุมการทำงานของต่อมใต้สมอง
  • ผลิตฮอร์โมนวาโซเพรซิน (Vasopressin) เกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลน้ำและแร่ธาตุในเลือด รวมถึงออกซิโทซิน (Oxytocin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการบีบตัวของมดลูก
  • เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทอัตโนมัติ
  • ควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
  • ควบคุมความรู้สึกหิว–อิ่ม
  • ควบคุมความต้องการทางเพศ
  • ควบคุมเรื่องการหายใจ
  • ดูแลเรื่องการนอนหลับและการตื่น

สมองส่วนกลาง (Midbrain)

สมองส่วนกลางเป็นส่วนที่คอยรับ–ส่งกระแสประสาทระหว่างสมองส่วนหน้าและสมองส่วนท้าย 

นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น การเคลื่อนไหวของลูกตา ควบคุมการปิดเปิดของรูม่านตาให้เหมาะสมกับปริมาณแสงสว่าง

สมองส่วนท้าย (Hindbrain)

ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. ซีรีเบลลัม (Cerebellum) ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัว และควบคุมกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวให้ราบรื่น
  2. พอนส์ (Pons) เป็นส่วนที่อยู่ติดกับสมองส่วนกลาง ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ควบคุมการเคี้ยวอาหาร หลั่งน้ำลายและน้ำตา การเคลื่อนไหวใบหน้า การแสดงออกทางสีหน้า รวมถึงการรับความรู้สึกของใบหน้า อย่างการสัมผัส ความเจ็บปวด หรือควบคุมการหายใจ
  3. เมดัลลาออบลองกาตา (Medulla oblongata) เป็นส่วนที่อยู่ท้ายสุด ติดกับไขสันหลัง เป็นทางผ่านของกระแสประสาท ควบคุมการทำงานของระบบประสาทเหนืออำนาจจิตใจ เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ การย่อยอาหาร หรือการยืดและหดตัวของเส้นเลือด

ความผิดปกติของสมองที่พบได้บ่อย

สมองเป็นอวัยวะสำคัญที่ควบคุมการตอบสนองด้านพฤติกรรม การเรียนรู้ และการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ 

เมื่อเกิดความผิดปกติใด ๆ ขึ้นในสมอง อาการนั้นจึงมักจะส่งผลรุนแรงต่อร่างกาย เช่น

  1. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke or cerebrovascular accident)

มักเกิดจากการมีไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน หรือความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดสมองอุดตันและแข็งตัว จนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้เส้นเลือดสมองตีบได้ และอาจรุนแรงถึงขั้นเส้นเลือดในสมองแตก

อาการที่เกิดขึ้น ได้แก่ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก ชาบริเวณใบหน้า หน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง กลืนไม่ได้ กลืนลำบาก พูดไม่ชัด ฟังคนพูดไม่เข้าใจ การมองเห็นพร่าเลือน หรือเห็นภาพซ้อน เวียนศีรษะ  ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ไปจนถึงเป็นอัมพาต และอาจเสียชีวิตได้

  1. โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease)

เป็นโรคสมองเสื่อมประเภทหนึ่ง เกิดจากความเสื่อมของเซลล์สมองตามธรรมชาติ มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการเรียนรู้ ความจำเลอะเลือน เนื่องจากสมองส่วนดังกล่าวไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

  1. สมองเกิดการกระทบกระเทือน

สาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากอุบัติเหตุ โดยมีอาการที่เกิดขึ้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าสมองส่วนไหนถูกกระทบกระเทือน เช่น สูญเสียการมองเห็น สูญเสียความทรงจำ ควบคุมการทรงตัวไม่ได้ จนถึงขั้นเป็นอัมพาต

  1. โรคสมองอักเสบ (Encephalitis)

มักเกิดจากการติดเชื้อ เช่น ไวรัส ทำให้เนื้อสมองบาดเจ็บ เสียหาย อาการที่พบได้ระยะแรก ๆ คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และอ่อนเพลีย

หากรักษาไม่ทัน จะมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น สับสน มึนงง กล้ามเนื้อบางส่วนหมดความรู้สึก มีปัญหาด้านการพูด การได้ยิน ไปจนถึงขั้นหมดสติ

  1. โรคเนื้องอกในสมอง

เป็นโรคที่พบได้ทุกวัย ก้อนเนื้อในสมองที่มีขนาดใหญ่ แม้จะไม่ใช่เนื้อร้าย ก็อาจไปกดทับเนื้อสมองส่วนข้างเคียง ทำให้เกิดอาการผิดปกติหลาย ๆ อย่างได้ เช่น 

  • ปวดศีรษะรุนแรง (โดยเฉพาะช่วงตื่นนอนและช่วงกลางคืน)
  • อาเจียนอย่างควบคุมไม่ได้
  • มองเห็นแย่ลง
  • เกิดอาการชา
  • แขนขาอ่อนแรง
  • ทรงตัวไม่ได้
  • เดินเซ
  • การเรียนรู้ถดถอย อาจรุนแรงถึงขั้นพูด อ่าน หรือเขียนไม่ได้
  • มีอาการชัก หมดสติกะทันหัน

สมองของเรา ดูแลป้องกันอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
เพราะการเรียนรู้ ทั้งการอ่าน การฟัง และการคิด จะช่วยเพิ่มเครือข่ายการเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทให้ซับซ้อนขึ้น จึงจะคิด และวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในวัยไหน ก็อย่าหยุดที่จะเรียนรู้

รับประทานอาหารที่ดีต่อสมอง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่
เช่น ปลาทะเล ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เพราะล้วนอุดมด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมกา 3 รวมถึงใบเขียว ใบแปะก๊วย และผลไม้ตระกูลเบอร์รี ที่มีทั้งวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ช่วยบำรุงการทำงานของระบบประสาทและสมอง

นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลา เลิกนิสัยไม่รับประทานอาหารเช้า เพราะอาหารทุกมื้อสำคัญต่อการส่งสารอาหารไปบำรุงสมอง 

รวมถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และไม่ใช้สารเสพติด
เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลเสียต่อสมองได้ในระยะยาว

หมั่นออกกำลังสมองบ่อย ๆ
เช่น เล่นเกมฝึกความจำรูปแบบต่าง ๆ ฝึกการวางแผน การแก้ปัญหา การคำนวณเลข การเล่นดนตรี การทำงานศิลปะ

ออกกำลังกายบ่อย ๆ
โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ อย่างการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ครั้งละ 20–30 นาที อย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 วัน

หลีกเลี่ยงความเครียด
ความเครียดส่งผลให้สมองขาดสมาธิ ตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ช้าลง และทำให้เรียนรู้ได้อย่างไม่เต็มที่ และยังส่งผลให้สารเคมีในสมองผิดปกติ ทำให้รู้สึกกระวนกระวาย นอนไม่หลับ

เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองก็จะยิ่งไม่ปลอดโปร่ง สั่งการช้าลง และส่งผลเสียในระยะยาว เช่น ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

พักผ่อนให้เพียงพอ
การพักผ่อนจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้หยุดพัก มีการฟื้นฟู และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ยิ่งกับวัยที่กำลังเจริญเติบโต การพักผ่อนที่เพียงพอและไม่เข้านอนดึกเกินไปนักเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก

เข้าสังคมบ่อย ๆ
เพราะการพบปะพูดคุยกับผู้คนจะทำให้สมองมีการคิดวิเคราะห์ และเรียบเรียงคำพูดเพื่อโต้ตอบบทสนทนา

ระมัดระวังไม่ให้สมองถูกกระทบกระเทือน
สมองที่บาดเจ็บเสียหายจะส่งผลร้ายแรงต่อการดำรงชีวิต ถ้าเกิดขึ้นแล้วมักแก้ไขไม่ได้ ดังนั้น ควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลให้สมองกระทบเทือน เพื่อป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดตามมา

สมอง เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย จึงควรดูแลและบำรุงสมองให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ เช่น หมั่นเรียนรู้ และรับประทานอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง 

ที่สำคัญ ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อจะได้รู้ว่าต้องระมัดระวังสิ่งใด หรือขาดสารอาหารอะไรไปบ้าง


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล

Scroll to Top