โรคตากุ้งยิง Hordeolum

โรคตากุ้งยิง (Hordeolum)

เมื่อพูดถึง “ตากุ้งยิง” หลายคนก็คงจะนึกถึงคำแซวติดตลกว่า หากไปแอบดูใครอาบน้ำหรือถ้ำมอง ก็จะเป็นตากุ้งยิง ซึ่งความจริงแล้ว ตากุ้งยิงนั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียและพฤติกรรมเกี่ยวกับความสะอาดต่างๆ ซึ่งผลกระทบให้เกิดโรคนี้ขึ้นต่างหาก

โรคตากุ้งยิง คืออะไร

โรคตากุ้งยิง (Hordeolum) คือ โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป หรือมีสาเหตุมาจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้เปลือกตา มักพบได้ในบริเวณเปลือกตาด้านบน หรือเปลือกตาด้านล่าง

ลักษณะของการเป็นโรคตากุ้งยิงนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับการเป็นสิว ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดคล้ายๆ กัน แต่อาจมีการลุกลามที่ร้ายแรงกว่าหากปล่อยไว้ไม่ยอมรักษา และโอกาสในการเป็นโรคตากุ้งยิงก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ในกลุ่มคนทุกเพศ ทุกวัยอีกด้วย

สาเหตุของโรคตากุ้งยิง

สาเหตุของตากุ้งยิงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้จากปัจจัยรอบข้าง ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. การติดเชื้อ

เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคตากุ้งยิงคือ สแตฟิโลค็อคคัสออเรียส (Staphylococcus aureus) โดยเชื้อนี้จะเข้าไปอุดตันท่อระบายสิ่งสกปรกออกจากสายตา และทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกทำลาย จนเกิดเป็นการอักเสบในรูปของตุ่มหนองบริเวณเปลือกตา

2. การไม่รักษาความสะอาดบริเวณใบหน้า

หลายครั้งที่เราละเลยการดูแลความสะอาดบนใบหน้าไป โดยไม่รู้ตัวเลยว่า นั่นคือโอกาสที่จะทำให้เชื้อแบคทีเรียมีการเติบโตขึ้นทั่วใบหน้า

นอกจากนี้ การมีพฤติกรรมไม่ชอบล้างมืออย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตากุ้งยิงได้เช่นกัน โดยพฤติกรรมเกี่ยวกับความสะอาดของใบหน้าต่อไปนี้ คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดโรคตากุ้งยิง

  • ชอบใช้มือขยี้ตาบ่อยๆ จนทำให้เปลือกตาไม่สะอาด
  • ล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด หรือใช้อุปกรณ์แต่งหน้าร่วมกับผู้อื่น
  • ใส่และถอดคอนแทคเลนส์ด้วยมือที่ไม่สะอาด รวมถึงการใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับผู้อื่นด้วย
  • ที่อยู่อาศัยไม่สะอาด เต็มไปด้วยฝุ่นละออง และเชื้อโรค

3. มีไขมันมาก

การมีไขมันมากในร่างกายถือเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลต่อการเกิดโรคตากุ้งยิงได้ เนื่องจากต่อมใต้ไขมันบริเวณตาจะเกิดการอุดตัน ทำให้สิ่งสกปรกไม่สามารถระบายออกมาจากตาได้ และเกิดการติดเชื้อไปพร้อมๆ กัน จากนั้นก็จะลุกลามเกิดเป็นการอักเสบและเป็นหนอง กระทั่งทำให้เกิดโรคตากุ้งยิงได้ในที่สุด

4. ร่างกายมีภาวะติดเชื้อง่าย

ผู้ป่วยบางรายที่ร่างกายมีความอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ย่อมเสี่ยงติดการติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติ นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคอื่นๆ อยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคตากุ้งยิงได้เช่นเดียวกัน เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง มีปัญหาหนังตาอักเสบ

ชนิดของโรคตากุ้งยิง

โรคตากุ้งยิง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้

1. โรคตากุ้งยิงภายนอก (External hordeolum) 

โรคตากุ้งยิงชนิดที่เป็นภายนอก เป็นการอักเสบของต่อมไขมัน จนทำให้เกิดเป็นตุ่มหนองบริเวณเปลือกตาที่อยู่ด้านนอก

2. โรคตากุ้งยิงภายใน (Internal hordeolum)

โรคตากุ้งยิงภายในจะมีความคล้ายคลึงกับโรคตากุ้งยิงภายนอก แต่ตำแหน่งของตุ่มหนองจะอยู่บริเวณเปลือกตาด้านใน ผู้ป่วยต้องปลิ้นเปลือกตาออกมาจึงจะเห็นตุ่มหนองที่เกิดขึ้น อีกทั้งโรคตากุ้งยิงชนิดนี้ยังทำให้มีอาการเจ็บมากกว่าเวลากดหรือสัมผัสตุ่มหนอง

3. โรคตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ (Chalazion)

โรคตากุ้งยิงชนิดนี้จะแตกต่างกับโรคตากุ้งยิงทั้ง 2 ชนิดแรกโดยสิ้นเชิง โดยจะเกิดกับบริเวณเปลือกตาด้านนอกทั้งด้านบนและด้านล่างแต่ในผู้ป่วยบางรายก็อาจเกิดกับเปลือกตาด้านบน หรือด้านล่างเพียงอย่างเดียว โดยภายในตุ่มนั้นจะมีถุงน้ำชื่อว่า ไมโบเมียน (Meibomian) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อภายในต่อมน้ำมันของเปลือกตา ดังนั้น ผู้ป่วยจึงจะไม่มีอาการเจ็บแบบโรคตากุ้งยิงสองชนิดแรก

อาการของโรคตากุ้งยิง

ผู้ป่วยโรคตากุ้งยิงจะมีอาการดังต่อไปนี้

  • มีตุ่มบวมแดงที่บริเวณเปลือกตา
  • รู้สึกคันเปลือกตาอยู่ตลอดเวลา และอาการคันค่อยๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องขยี้ตาบ่อยๆ
  • ในผู้ป่วยบางราย ตุ่มบนเปลือกตาอาจมีหนองไหลออกมาด้วย
  • รู้สึกปวดและบวมบริเวณเปลือกตา
  • ผู้ป่วยบางรายอาจมีหนองไหล
  • มีน้ำตาไหล
  • มีอาการแพ้แสงแดด
  • ขี้ตาเป็นสีเขียว ซึ่งอาการนี้มักเกิดเมื่อหนองในตุ่มแตกออกมาแล้ว

ภาวะแทรกซ้อน

หากภูมิต้านทานในร่างกายของผู้ป่วยมีความผิดปกติหรืออยู่ในปริมาณต่ำมาก หรือไม่มีการทำความสะอาดดวงตาที่ดีเพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะเป็นโรคตากุ้งยิงได้ เช่น

  • มีการอักเสบลุกลามไปทั่วเปลือกตา
  • เบ้าตาติดเชื้อ
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด

นอกจากภาวะแทรกซ้อนที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงอื่นๆ ซึ่งผู้ป่วยและผู้ดูแลต้องช่วยกันสังเกต หากพบว่ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

  • เปลือกตามีแผลตกสะเก็ด
  • อาการปวดไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
  • เปลือกตาแดง หรือตาแดงทั่วทุกบริเวณ
  • ก้อนตุ่มหนองมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • พบเลือดออกที่ตุ่มหนอง
  • กลับมาเป็นโรคนี้ซ้ำอีกครั้งหลังจากรักษาหายดีแล้ว
  • สายตามีความผิดปกติ

การวินิจฉัยโรคตากุ้งยิง

สำหรับการวินิจฉัยโรคตากุ้งยิง แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติของผู้ป่วยเป็นอย่างแรก เพื่อหาโรคที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตากุ้งยิงไปพร้อมกัน เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง

จากนั้นแพทย์จะมีการตรวจดูอาการของโรคตากุ้งยิงว่ามีอาการตามที่กล่าวไว้ข้างต้นหรือไม่ เช่น มีก้อนนูนแดงบริเวณเปลือกตา เปลือกตามีอาการบวมแดงและผู้ป่วยรู้สึกคันระคายเคือง

นอกจากนี้ แพทย์อาจจะมีการซักถามในเรื่องของพฤติกรรมอื่นๆ ของผู้ป่วยด้วย เช่น

  • การชอบขยี้ตา
  • การใส่คอนแทคเลนส์
  • การใช้เครื่องสำอาง
  • พฤติกรรมการล้างมือ
  • การรักษาความสะอาดบริเวณใบหน้า
  • สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ว่ามีความสะอาดพอหรือไม่

วิธีรักษาโรคตากุ้งยิง

การรักษาโรคตากุ้งยิงสามารถรักษาได้หลายวิธี แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยว่าสะดวกเข้ารับการรักษาหรือไม่ โดยการรักษามีทั้งแบบรักษาด้วยตนเอง และรักษาโดยอาศัยผ่านแพทย์ ดังนี้

1. ปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติ

ผู้ป่วยบางรายอาจปฏิเสธการรักษาจากแพทย์เพื่อให้ตากุ้งยิงหายไปเองตามธรรมชาติ โดยอาจใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 วัน ซึ่งวิธีดังกล่าวจะเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคตากุ้งยิงชนิดที่ไม่มีความรุนแรงเท่านั้น

2. การประคบร้อน

เป็นการรักษาโดยต้องใช้ระยะเวลาในการประคบ 4 ครั้งต่อวัน แต่ละครั้งไม่ควรต่ำกว่า 30 นาที

ส่วนสาเหตุที่การประคบร้อนสามารถช่วยรักษาโรคตากุ้งยิงได้นั้น ก็เพราะความร้อนที่ประคบลงไปยังบริเวณที่เป็นตากุ้งยิง จะทำให้หลอดเลือดขยายและส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกยิ่งขึ้น และยังเป็นการกำจัดเชื้อโรคออกไปจากดวงตาได้ง่ายด้วย

แต่ในผู้ป่วยบางราย การประคบร้อนก็อาจทำให้เชื้อที่อุดตันอยู่บริเวณเปลือกตาเปิดออกได้ และหนองก็สามารถไหลออกมาเอง แต่ไม่แนะนำให้พยายามบีบเค้นหนองออกด้วยตนเอง เพราะอาจจะทำให้เชื้อที่อยู่บริเวณนั้นกระจายตัวได้ง่ายมากขึ้น และเกิดเป็นการอักเสบได้ด้วย

3. การรับประทานยา

การรักษาโรคตากุ้งยิงด้วยการรับประทานยาก็เป็นอีกทางเลือกในการรักษาเช่นกัน โดยตัวอย่างยาที่ใช้รักษาโรคตากุ้งยิง ได้แก่

  • เตตราไซคลีน (Tetracycline) ให้รับประทานขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง แต่มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรใช้ร่วมกับยารักษากระเพาะและยาคุมกำเนิด เพราะจะมีผลทำให้การออกฤทธิ์ของยาคุมกำเนิดลดลง ทำให้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดทำงานอย่างไม่เต็มที่ รวมทั้งห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ด้วย
  • อิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ให้รับประทานขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร แต่ไม่ควรใช้ยาร่วมกับยารักษาโรคตับ และยาบางชนิดเพราะจะทำให้เกิดผลข้างเคียง ได้แก่
  • ไดคลอกซาซิลลิน (Diccloxacilin) ให้รับประทานขนาด 250 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งก่อนอาหาร
  • ไซโคลสปอรีน (Cyclosporine)
  • ทีโอฟิลลิน (Theophyllin)
  • ไดจอกซิน (Digoxin)
  • คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine)
  • โลวาสแตติน (Lovastatin)
  • วาฟารีน (Warfarine)
  • ซิมวาสแตติน (Simvastatin)

4. การใช้ยาหยอดตาและยาป้ายตา

ยาที่เหมาะสมมี 2 ตัว คือ

  • ยาหยอดตาโทบรามัยซิน (Tobramycin ophthalmic solution) ให้หยอดตาทุกๆ 4 ชั่วโมงจนกว่าอาการจะดีขึ้น
  • ขี้ผึ้งบาซิทราซิน (Bacitracin ophthalmic ointment) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ให้ป้ายยาบริเวณแผลวันละ 4-6 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน แต่ในผู้ป่วยรายที่อาการไม่ร้ายแรงมาก ให้ป้ายวันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน

5. การทำความสะอาดตา

การดูแลรักษาความสะอาดถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่ผู้ป่วยโรคตากุ้งยิงไม่ควรมองข้าม ซึ่งวิธีที่ควรทำคือ การใช้สำลีชุบน้ำอุ่น จากนั้นเช็ดทำความสะอาดบริเวณรอบๆ ขอบตา และควรทำทั้งเช้าและเย็นจนกว่าอาการของโรคจะหายไป

6. การผ่าตัดระบายหนอง

เป็นอีกวิธีที่ได้รับความนิยมสำหรับรักษาโรคตากุ้งยิง หรืออาจเรียกว่าเป็น “การเจาะเพื่อระบายหนองออก” ก็ได้ โดยแพทย์จะมีการให้ยาชากับผู้ป่วยก่อน จากนั้นก็จะลงมีดผ่าลงไปที่บริเวณตุ่มหนอง

ซึ่งในระหว่างการรักษานี้ ผู้ป่วยควรหยุดพักทุกกิจกรรมที่จะต้องใช้สายตา เช่น ดูหนัง อ่านหนังสือ หรือแม้แต่ขับรถ และจะต้องปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ซึ่งโดยส่วนมาก แพทย์มักจะปิดตาข้างที่ผ่าตัดไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดออก และลดอาการบวมให้น้อยลง

วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นตากุ้งยิง

การดูแลตนเองเมื่อเป็นตากุ้งยิงนั้น อย่างแรกคือ หมั่นรักษาความสะอาดบริเวณรอบเปลือกตาอยู่เสมอ และควรปฏิบัติควบคู่กับพฤติกรรมเหล่านี้

  • หมั่นประคบดวงตาด้วยน้ำอุ่น 3-4 ครั้งต่อวัน และให้หลับตาระหว่างประคบด้วย
  • ทำความสะอาดปลอกหมอน และสิ่งของเครื่องใช้ที่ต้องสัมผัสกับใบหน้า
  • พยายามเก็บผมไม่ให้ปรกลงมาทิ่มตา
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • หลีกเลี่ยงการออกไปในที่ที่มีมลภาวะฝุ่นละออง หรือสิ่งสกปรก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และงดการใช้สายตาเป็นเวลานาน

วิธีป้องกันโรคตากุ้งยิง

โรคตากุ้งยิงสามารถที่จะป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น

  • ไม่ขยี้ตา
  • รักษาความสะอาดทั้งใบหน้าและมือ
  • หมั่นทำความสะอาดปลอกหมอน รวมถึงของใช้ต่างๆ ในบ้าน
  • ไม่ใช้สายตามากเกินความจำเป็น
  • อย่าให้ผมแยงตาเพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ดวงตาได้ง่าย

โรคตากุ้งยิงไม่ใช่โรคที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตามากมาย เมื่อเป็นแล้วก็สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ เพียงแต่ผู้ป่วยจะต้องหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของดวงตาไว้เป็นอย่างดี และหากมีอาการรุนแรงขึ้นก็ไม่ควรปล่อยนิ่งเฉยไว้ แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้องต่อไปจะดีที่สุด


คำถามที่พบบ่อย


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. ธนู โกมลไสย

Scroll to Top