โสม เป็นหนึ่งในพืชสมุนไพรชื่อดังที่ขึ้นชื่อด้านสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงเลือด และบำรุงสมอง นอกจากนี้ โสมยังนำมาใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย
โสมมีหลากหลายสายพันธุ์ และทุก ๆ สายพันธุ์เป็นพืชตระกูลเดียวกัน อยู่ในวงศ์ ARALIACEAE สกุล Panax โดยสายพันธุ์ของโสม มีดังนี้
- โสมเกาหลี (Panax ginseng C.A. Mey.) ชื่อท้องถิ่น โสมคน หรือ หยิ่งเซียม
- โสมจีน (Panax pseudoginseng Wall) ชื่อท้องถิ่น ชั่งชิก
- โสมอเมริกัน (Panax quinquefolium L.) ชื่อท้องถิ่น เอี่ยเซียม
โสมแต่ละสายพันธุ์ต่างก็มีสารสำคัญหลัก ๆ คือ จินเซนโนไซด์ (Ginsenosides) และพาแน็กโซไซด์ (Panaxosides) ที่เป็นตัวเสริมสรรพคุณดี ๆ ให้ร่างกายนั่นเอง
สารบัญ
โสมชนิดต่าง ๆ กับสรรพคุณทางยา
ตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน โสมมีสรรพคุณทางยาต่าง ๆ ดังนี้
โสมจีน หรือ ชั่งชิก
แพทย์แผนจีนชี้ว่า โสมจีนใช้บำบัดอาการอาเจียนมีเลือดปน บรรเทาอาการเมื่อประจำเดือนไหลไม่หยุด อาการเลือดออกหลังคลอดบุตร อีกทั้งยังช่วยขยายหลอดเลือด และลดความดันโลหิตด้วย
- วิธีรับประทาน นำเครื่องยาสมุนไพรแบบแห้ง บดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1–1.5 กรัม ละลายน้ำต้มสุกดื่ม
- กรณีใช้ห้ามเลือด ให้บดเป็นผง โรยบริเวณที่มีเลือดออก หรือที่มีบาดแผล
โสมเกาหลี หรือ โสมคน หรือ หยิ่งเซียม
มีต้นกำเนิดที่เกาหลี แต่นำมาใช้อย่างแพร่หลายในประเทศจีน แพทย์แผนจีนกล่าวว่า โสมเกาหลีมีรสหวานอมขมเล็กน้อย ออกฤทธิ์ตามเส้นลมปราณของปอดและม้าม จัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรบำรุงกำลัง
- ช่วยแก้ไขเรื่องระบบย่อยอาหาร แก้เบื่ออาหาร บำรุงปอด ช่วยแก้อาการหอบ บำรุงหัวใจ บำรุงไต และบรรเทาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
- วิธีรับประทาน นำเครื่องยาสมุนไพรแบบแห้งมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1–1.5 กรัม ละลายน้ำต้มสุกดื่ม หากรับประทานแบบสด ให้นำไปต้มให้สุกก่อน รับประทานครั้งละ 1–9 กรัม
โสมอเมริกัน หรือ เอี่ยเซียม
แม้จะมีต้นกำเนิดอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ก็ยังนำเข้าไปยังประเทศจีนด้วย
- แพทย์แผนจีนนิยมใช้ในผู้ป่วยที่ร่างกายมีความร้อนมากเกินไป เช่น ปาก คอ และลิ้นแห้งแดง กระหายน้ำ เสียงแหบ เหงือกอักเสบ นอกจากนี้ ยังใช้รักษาผู้ป่วยที่มีอาการไอแห้งมีเลือดปน ไอเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ได้อีกด้วย
- วิธีรับประทาน อมครั้งละ 1–2 แผ่น หรือชงด้วยน้ำร้อน ครั้งละ 2–3 แผ่น และดื่ม
ประโยชน์ของโสมชนิดต่าง ๆ
- การศึกษาฤทธิ์ต้านภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันของสารสกัดจากดอกตูมของโสมจีนในระดับหลอดทดลอง พบว่า สารสกัดนี้มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดที่ผิดปกติบางส่วนได้รับการซ่อมแซม
- อีกผลการศึกษาหนึ่ง เป็นการทดลองกับหนูที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และให้หนูลองรับสารสกัดจากดอกตูมของโสมจีนในขนาด 50 มก./กก. ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่า สารสกัดนี้ทำให้ความหนาแน่นของหลอดเลือดบริเวณที่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วนเพิ่มขึ้น
- การศึกษาผลของสารสกัดจากโสมอเมริกันกับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในหนูทดลอง โดยให้หนูกินสารสกัดนี้ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ แล้วให้กินอาหารปกติต่ออีก 8 สัปดาห์ จากนั้นทำการุณยฆาตหนู และแยกเซลล์ภูมิคุ้มกันทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ Lymphocytes, Nucleated Erythroid Cells, Granulocytes, Immature Granuloid Precursors และ Monocytes จากไขกระดูก ม้าม และเลือดออกมาวิเคราะห์ พบว่าสารสกัดจากโสมอเมริกันช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เป็นอย่างดี
- การศึกษาฤทธิ์ป้องกันตับเสียหายด้วยโสมอเมริกัน โดยป้อนสารสกัดโสมอเมริกาให้หนูทดลองติดต่อกัน 7 วัน แล้วป้อนยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) ขนาด 250 มก./กกเพื่อเหนี่ยวนำให้ตับเกิดความเสียหาย จากผลการศึกษาพบว่า การป้อนสารสกัดโสมอเมริกาช่วยป้องกันความเสียหายของตับจากยาอะเซตามิโนเฟนได้ โดยมีกลไกในการต้านออกซิเดชันยับยั้งการตายของเซลล์ และยังต้านการอักเสบด้วย
ข้อควรระวังในการรับประทานโสม
การรับประทานโสมอาจก่อผลข้างเคียงในหลาย ๆ คนได้ จึงควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานโสมอย่างระมัดระวัง เช่น
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เพราะโสมอาจทำให้นอนไม่หลับได้
- ผู้มีตั้งครรภ์หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงการรับประทานโสม เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการรับประทานโสมในช่วงนี้จะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อมารดาหรือทารกหรือไม่
- ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ไม่ควรรับประทานโสม เพราะโสมมีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด จึงทำให้เลือดหยุดไหลช้า เกิดแผลฟกช้ำ หรือเลือดออกได้ง่าย
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจไม่ควรรับประทานโสม เนื่องจากโสมอาจส่งผลต่อการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตได้เล็กน้อย
- การรับประทานโสมร่วมกับยารักษาเบาหวานหรืออินซูลินอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากเกินไป ดังนั้น ผู้ที่รับประทานยารักษาเบาหวานจึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานโสมพร้อมกับยา
- การรับประทานโสมร่วมกับยากดภูมิคุ้มกัน อาจไปกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกัน และลดประสิทธิภาพและการทำงานของยาได้ ดังนั้น ผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานโสมพร้อมกับยา