Default fallback image

รวม 7 ความเชื่อเรื่องโรคตาที่ไม่จริง พร้อมข้อเท็จจริงที่ควรรู้ให้ทัน

โรคทางตาเป็นหนึ่งในโรคที่คนมักเข้าใจผิด เนื่องด้วยเป็นอวัยวะสำคัญที่ใช้นำทางชีวิต หากเกิดปัญหาสุขภาพดวงตาหรือความสามารถในการมองเห็นเปลี่ยนไป ก็จะทำให้หลายคนหวั่นวิตกหรือสับสนได้ง่าย 

ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับดวงตานั้นอาจนำไปสู่การรักษาหรือดูแลสุขภาพดวงตาอย่างผิดวิธี มาดูกันว่าเรากำลังเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคทางตาอยู่หรือเปล่า มาปรับเปลี่ยนไปพร้อมกัน  

1. เจอคนตาแดงให้แลบลิ้นใส่ จะได้ไม่ติดเชื้อ?

ข้อเท็จจริง: การแลบลิ้นใส่คนที่เป็นตาแดงไม่ได้ช่วยป้องกันโรคได้แต่อย่างใด โรคตาแดงหรือโรคเยื่อบุตาอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มอดีโนไวรัส (Adenovirus) หรือเชื้อเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) พบได้ตลอดปีโดยเฉพาะช่วงหน้าฝน

โดยเชื้อจะแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งของผู้ป่วย อย่างน้ำตา ขี้ตา ละอองเชื้อไวรัสจากการไอหรือจาม หรือเชื้อไวรัสที่ปนเปื้อนบนพื้นผิวสิ่งของ โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะที่มีคนจำนวนมาก

วิธีป้องกันโรคตาแดงที่ถูกต้องจึงไม่ใช่การแลบลิ้นใส่ผู้ป่วย แต่เป็นการดูแลสุขอนามัยส่วนตัวให้ดีนั่นเอง เช่น

  • หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตาหรือสัมผัสดวงตาหากมือไม่สะอาด
  • สวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้าน
  • หลีกเลี่ยงการคลุกคลีและการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย
  • ออกกำลังและทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมความแข็งแรงให้กับร่างกาย  

2. อ่านหนังสือในที่มืด ทำให้สายตาสั้น?

ข้อเท็จจริง: การอ่านหนังสือในที่มืดอาจไม่ทำให้สายตาสั้นหรือสายตาเสีย แต่จะส่งผลให้เราต้องเพ่งหรือใช้สายตามากเกินไป ทำให้เกิดปัญหาตาล้า ตาแห้งได้ง่าย

ทางที่ดี แนะนำให้อ่านหนังสือในสถานที่ที่มีแสงสว่างพอเหมาะ จะได้ไม่ต้องเพ่งมองตัวหนังสือหนักเกินไป และควรพักสายตาทุก 20 นาที หรือหยอดน้ำตาเทียมเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา

3. ตามัว ฝ้าฟาง มองไม่ค่อยเห็น เป็นเรื่องปกติเมื่ออายุเยอะ? 

ข้อเท็จจริง: อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมถอยตามกาลเวลาเป็นเรื่องปกติ ดวงตาก็เช่นกัน คนสูงอายุหลายคนอาจประสบปัญหาในการมองเห็นได้

ทว่าตาพร่ามัว ฝ้าฟาง หรือมองเห็นไม่ชัด ไม่ใช่เพียงเพราะอายุที่มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นผลจากโรคทางตามากมาย เช่น สายตาสั้น สายตายาว ต้อกระจก ต้อหิน โรคประสาทตาเสื่อม หรือโรคเบาหวานขึ้นตา

คนสูงอายุที่เริ่มมีปัญหาสายตาหรือมีการมองเห็นที่ผิดปกติ จึงควรไปปรึกษาแพทย์หรือจักษุแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม 

4. เด็กตาเหล่ ตาเข โตขึ้นก็หาย ไม่ต้องตรวจรักษา?

ข้อเท็จจริง: เด็กตาเหล่หรือตาเข (Strabismus) ไม่สามารถหายได้เอง จำต้องได้รับการรักษา ทั้งแบบผ่าตัดจัดกล้ามเนื้อตา และไม่ผ่าตัด เช่น การสวมแว่นสายตาหรือแว่นปริซึม (Prism) การฝึกกล้ามเนื้อตา หรือการใช้ยารักษาอย่างโบท็อกซ์ (Botox)

การรักษาตาเหล่มีความจำเป็นเพื่อป้องกันภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) เนื่องจากกล้ามเนื้อตาข้างที่เหล่ถูกใช้งานหรือเคลื่อนไหวน้อยลง ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการสูญเสียการมองเห็นได้ในอนาคตนั่นเอง

5. ผู้ชายเท่านั้นที่เป็นตาบอดสี และเห็นแค่สีขาวดำ? 

ข้อเท็จจริง: ไม่เสมอไป ผู้หญิงก็เป็นตาบอดสีได้ แม้ผู้ป่วยตาบอดสีส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย โดยสาเหตุหลักมาจากกรรมพันธุ์ของคนในครอบครัว เนื่องจากเซลล์รับสีบกพร่องตั้งแต่กำเนิด 

ส่วนปัจจัยอื่น ๆ เช่น โรคประจำตัว อุบัติเหตุบริเวณดวงตา และผลข้างเคียงของยาบางชนิด  ทำให้จอตาหรือเส้นประสาทตาเสียหาย

อีกทั้งผู้ป่วยตาบอดสียังมองเห็นสีได้ แต่จะเห็นสีเพี้ยนไปจากเดิม ความสดของสีลดลง ส่วนใหญ่แล้วมักไม่สามารถแยกความต่างระหว่างสีเขียว เหลือง ส้ม แดงได้ กรณีมองเห็นแค่สีขาวดำ (Achromatopsia) นั้นจัดเป็นตาบอดสีที่รุนแรงซึ่งพบได้น้อยมาก 

6. ต้อกระจกรักษาได้ด้วยยาหยอดตา ยาทาน อาหารเสริม? 

ข้อเท็จจริง: ภาวะเลนส์ตาขุ่นจนส่งผลต่อการมองเห็นหรือที่เรียกกันว่า ต้อกระจก (Cataract) ยังไม่สามารถรักษาหรือชะลออาการด้วยยาทาน ยาหยอดตา และอาหารเสริม

แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดรักษาต้อกระจกด้วยวิธีต่าง ๆ โดยไม่ต้องรอให้ต้อกระจกสุกหรือแข็งมากขึ้น เช่น

  • การใช้คลื่นเสี่ยงความถี่สูง (Phacoemulsification) หรืออัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อสลายต้อกระจกทั้งหมด แล้วแทนที่ด้วยเลนส์แก้วตาเทียม วิธีนี้ทำให้เกิดแผลเล็กและไม่ต้องเย็บแผล
  • การผ่าตัดแบบเปิด (Extracapsular Cataract Extraction: ECCE) โดยนำเลนส์ตาส่วนที่เป็นต้อกระจกออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมทดแทน เหมาะสำหรับต้อกระจกที่แข็งจนสลายด้วยคลื่นความถี่ไม่ได้ผล แต่แผลจะใหญ่กว่าและต้องเย็บแผล

7. ต้อกระจกกลายเป็นต้อหินได้?

ข้อเท็จจริง: ต้อกระจกจะไม่กลายเป็นต้อหิน เพราะต้อกระจกเป็นการขุ่นของเลนส์ตา ส่วนต้อหินนั้นเกิดจากความดันลูกตาสูงจนทำลายประสาทตา 

แต่หากไม่เข้ารับการรักษาจนต้อกระจกรุนแรงหรือสุกมาก เลนส์ตาจะแข็งและหนาขึ้นจนอาจส่งผลต่อความดันลูกตา เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นต้อหิน ซึ่งนำไปสู่ตาบอดในท้ายที่สุด

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคทางตายังมีอีกมาก หากมีคำถามที่สงสัยหรือมีอาการเกี่ยวกับดวงตา ควรไปตรวจคัดกรองกับจักษุแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อวางแผนการรักษาได้ทัน ลดความเสี่ยงโรคทางตาในอนาคต เปรียบเทียบราคา โปรแกรมตรวจสุขภาพตา จากสถานพยาบาลใกล้บ้านได้ในคลิกเดียว ที่ HDmall.co.th เลือกไม่ถูก ทักหาแอดมินได้เลย!  

Scroll to Top