โรคขาดสารอาหาร (Malnutrition) เป็นโรคที่ยังพบได้เสมอในเวชปฏิบัติ แม้ว่าภาวะทางเศรษฐกิจและรายได้ของประชากรจะเพิ่มขึ้น แต่ความสมดุลของอาหารและโรคเรื้อรังต่างๆ ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้
ตามแนวทางของยุโรปและอเมริกา ได้ให้คำจำกัดความของ โรคขาดสารอาหาร ว่าคือภาวะที่ไม่สามารถนำอาหารเข้าสู่ร่างกาย หรือไม่สามารถนำอาหารที่เข้าสู่ร่างกายนั้นไปใช้อย่างเหมาะสม จนเกิดความบกพร่องการทำงานของร่างกายและจิตใจ สุดท้ายทำให้ภาวะสุขภาพแย่ลงหรือโรคที่เป็นอยู่นั้นแย่ลง
ในประเทศไทยก็ใช้คำจำกัดความเช่นนี้ และมีวิธีการประเมินเหมือนนานาประเทศในโลก
สารบัญ
สาเหตุของโรคขาดสารอาหาร
สามารถแบ่งโรคขาดสารอาหารออกเป็นสองสาเหตุใหญ่ๆ ดังนี้
1. โรคขาดสารอาหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคใดๆ (Malnutrition without disease)
หมายถึงโรคขาดสารอาหารจากการขาดแคลนอาหาร มีอุปทานอาหารไม่เพียงพอ
ปัจจุบัน โรคขาดสารอาหารจากอุปทานอาหารไม่เพียงพอจะอยู่ในประเทศกลุ่มที่มีรายได้ประชาชาติต่ำมาก เช่น ในประเทศกลุ่มแอฟริกาหรือในเอเชียใต้
สำหรับประเทศไทยนั้น ปัญหาการขาดสารอาหารได้ลดลงมาก สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศที่เพิ่มขึ้นมาตลอดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา
ข้อมูลจากองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุว่า ในระยะเวลาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 จนถึงปี ค.ศ. 2012 อัตราการเกิดโรคขาดสารอาหารในประเทศไทยลดลงจาก 43.3% เป็น 5.8% เท่านั้น
สำหรับโรคขาดสารอาหารที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคใดๆ จะแบ่งได้ 2 แบบย่อย ดังนี้
- Hungry-related ไม่มีอาหารจากเหตุที่เกิดขึ้นเร็ว เช่น ภัยธรรมชาติ
- Socioeconomic-related ไม่มีอาหารจากภาวะสังคมแวดล้อม มักเกิดมานานและเรื้อรัง เช่น ความยากจน ในสถานกักกัน ในเรือนจำ
ถือว่าเป็นโรคขาดสารอาหารที่พบมาก เพราะไม่ขึ้นกับสถานะทางเศรษฐกิจสังคม หรืออุปทานอาหารแต่อย่างใด กลไกเกิดจากการอักเสบเรื้อรัง และผลโดยตรงจากโรคที่เป็นอยู่เดิม
สามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่มย่อย คือ โรคขาดสารอาหารแบบมีการอักเสบเรื้อรัง โรคขาดสารอาหารแบบมีการอักเสบหรือการบาดเจ็บเฉียบพลัน โรคขาดสารอาหารแบบไม่มีการอักเสบ
โรคขาดสารอาหารอันเกิดจากการอักเสบเรื้อรังคืออะไร?
โรคอักเสบเรื้อรังหลายโรค มีการหลั่งสารเคมีที่ทำให้มีการอักเสบอย่างต่อเนื่อง สารเคมีเหล่านี้ไปมีผลกับกระบวนการเผาผลาญอาหารและจัดสรรพลังงานในร่างกาย ผลโดยรวมทำให้เบื่ออาหาร ปริมาณอาหารที่รับประทานลดลง น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ค่าที่ถือว่ามีนัยสำคัญคือ น้ำหนักลดลง 5% ในระยะเวลา 3 เดือน หรือลดลงแค่ 2% หากเริ่มต้นที่ดัชนีมวลกายไม่เกิน 20
มวลกล้ามเนื้อจะลดลง วัดได้ง่ายๆ จากการวัดเส้นรอบวงแขนท่อนบน หรือหากจะวัดละเอียดต้องใช้การวัดด้วยคลื่นเอกซเรย์ (Dual energy X-ray absorptiometry) หรือใช้กระแสไฟฟ้า (Bio-electrical impedance) เพื่อไปเทียบกับค่ามาตรฐานกลุ่มประชากรเชื้อชาติเดียวกัน
มวลไขมันจะลดลง วัดง่ายๆ ได้จากค่าความหนาของไขมันใต้ผิวหนังบริเวณด้านหลังท่อนแขนส่วนบน (Triceps skinfold)
การตรวจเลือดต่างๆ ผลมักจะออกมาปกติ เพราะร่างกายมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และสามารถต้านทานความตึงเครียดในระยะสั้น เช่น การติดเชื้อ หรือการบาดเจ็บ ได้ดีในระยะเวลาหนึ่ง
โรคที่ทำให้เกิดโรคขาดสารอาหารจากการอักเสบเรื้อรังได้บ่อย เช่น
- โรคมะเร็ง
- โรคติดเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา
- โรคปอดอักเสบอุดกั้นเรื้อรัง
- โรคของระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เอสแอลอี ข้ออักเสบรูมาตอยด์
ในอดีต กลุ่มการขาดสารอาหารแบบนี้เรียกว่าว่า Marasmus
โรคขาดสารอาหารจากการบาดเจ็บหรือการอักเสบเฉียบพลันคืออะไร?
โรคที่มีการอักเสบเฉียบพลันรุนแรง เช่น โรคติดเชื้อรุนแรงในกระแสเลือด หรือประสบอุบัติเหตุรุนแรง เข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ภาวะต่างๆ เหล่านี้ร่างกายจะหลั่งสารที่ใช้เพื่อการอักเสบออกมาปริมาณมหาศาลและรวดเร็ว
ปฏิกิริยาเคมีจำนวนมากและเร็วนี้ส่งผลให้การเผาผลาญพลังงานผิดปกติได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ (นับระยะเวลาเป็นสัปดาห์) โดยเฉพาะการจัดการโปรตีนในร่างกาย
น้ำหนักตัวและดัชนีมวลกายจะยังลดลงไม่มากนัก แต่อาจจะเห็นรูปร่างไม่เปลี่ยนไปมาก เนื่องจากมีอาการบวมร่วมด้วย
จะพบผิวหนังแห้ง แผลหายยาก และการตรวจร่างกายที่ง่ายอันหนึ่งเรียกว่า “Easy hair pluckability” เป็นการดึงเส้นผมจากกลางกระหม่อมออกมาแบบง่ายดาย หลายเส้น และไม่เจ็บ
การตรวจเลือดจะพบความผิดปกติมาก และการขาดสารอาหารแบบนี้จะมีอัตราการเสียชีวิตสูงหากไม่ได้รับการแก้ไข
ในอดีต กลุ่มการขาดสารอาหารแบบนี้เรียกว่า Kwashiorkor
โรคขาดสารอาหารแบบที่ไม่มีการอักเสบคืออะไร?
โรคขาดสารอาหารในกลุ่มนี้ การขาดสารอาหารเป็นผลโดยตรงจากโรคและการเจ็บป่วย โดยที่ไม่ได้เกิดจากผลของการอักเสบแต่อย่างใด เช่น
- ขาดสารอาหารจากการกลืนไม่ได้เพราะเป็นอัมพาต
- ขาดสารอาหารเพราะเบื่ออาหารจากโรคซึมเศร้า
- ขาดสารอาหารเนื่องจากมีโรคของลำไส้ทำให้การดูดซึมอาหารทำได้น้อยมาก
การดูแลรักษาโรคขาดสารอาหารชนิดนี้จึงต้องดูแลโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติเป็นสำคัญ เพราะการเผาผลาญและการจัดการสารอาหารในร่างกายยังดี เพียงแต่มีเหตุอันมาขัดขวางเท่านั้น
เขียนบทความโดย นพ. ชาคริต หริมพานิช